รูปแบบการควบคุมด้วยใจแบบผ่อนคลาย เพื่อยกระดับสัมฤทธิ์ผลการพัฒนาพฤตินิสัยสำหรับผู้กระทำผิด
คำสำคัญ:
สังคมสงเคราะห์คลินิก, การควบคุมด้วยใจแบบผ่อนคลาย, พัฒนาพฤตินิสัยบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบกระบวนการการควบคุมด้วยใจแบบผ่อนคลายของหน่วยงานกระบวนการยุติธรรมที่ทำงานกับกลุ่มผู้กระทำผิดในสังคม ด้วยองค์ความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์คลินิก 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านสมรรถนะของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกับกลุ่มผู้กระทำผิดในสังคม มีผลต่อการยกระดับสัมฤทธิ์ผลการพัฒนาพฤตินิสัยผู้กระทำผิด 3) เพื่อศึกษาปัจจัยการสร้างจิตสำนึก มีผลต่อการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้กระทำผิดในเรือนจำแบบเปิดภาคตะวันออก คือ ทัณฑสถานเปิดห้วยโป่ง, ทัณฑสถานเปิดทุ่งเบญจา, เรือนจำชั่วคราวเขาไม้แก้ว และเรือนจำชั่วคราวเขาระกำ รวมทั้งหมด 4 เรือนจำ เป็นเจ้าหน้าที่ กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 91 คน และผู้ต้องขัง 198 คน เป็นการศึกษาทั้งวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบสอบถามที่เป็นเครืองมือการวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความสัมพันธ์และการทดสอบพหุถดถอย การสัมภาณ์แบบกลุ่มกับเจ้าหน้าที่ และผู้ต้องขัง และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาค กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม รวมทั้งสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เป็นภาคีเครือข่ายสนับสนุนพัฒนาพฤตินิสัยผู้กระทำผิด
ผลการศึกษาพบว่า 1) การศึกษารูปแบบกระบวนการการควบคุมด้วยใจแบบผ่อนคลายสอดคล้องกับองค์ความรู้ในงานสังคมสงเคราะห์คลินิก ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่าการคัดกรองเข้าสู่เรือนจำชั่วคราว และทัณฑสถานเปิดที่ไม่มีกำแพง ผู้ต้องขังพร้อมจะหลบหนีได้ทุกเวลา จึงต้องควบคุมด้วยใจทำให้ผู้ต้องขังรักและเกรงใจ ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้มาตรการการควบคุมโดยเคร่งครัด และปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเสมอภาค พื้นฐานการควบคุมเจ้าหน้าที่ต้องสังเกตเป็นรายบุคคล โดยการพิจารณาศักยภาพข้อดี หรือข้อเด่นของผู้ต้องขังแต่ละรายนำมาพัฒนาจิตใจ และปรับภาพลักษณ์ของผู้กระทำผิดให้มีการปรับตัวก่อนพ้นโทษ เพื่อคืนคนดีสู่สังคม 2) สมรรถนะด้านความรู้ และการมุ่งผลสัมฤทธิ์ และสมรรถนะด้านพฤติกรรมที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ สามารถใช้เป็นตัวพยากรณ์ในการคาดคะเนการยกระดับสัมฤทธิ์ผลการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้กระทำผิดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.001 3) ตัวแปรศาสนา ระดับการศึกษา ก่อนต้องโทษมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อาชีพก่อนต้องโทษ จำนวนครั้งที่เคยต้องโทษจำคุก (นับรวมครั้งนี้) ระดับชั้นการเป็นนักโทษ การถูกลงโทษทางวินัยในขณะอยู่ในเรือนจำ จำนวนครั้งที่เคยถูกลงโทษ ระดับความมั่นใจในการหาเลี้ยงตนเอง การขอความช่วยเหลือเมื่ออกจากเรือนจำ มีผลต่อการพัฒนาพฤตินิสัยของผู้กระทำความผิดได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05, 0.01 และ0.001 และพบว่า ระดับการสร้างจิตสำนึกของผู้กระทำผิด สามารถใช้เป็นตัวพยากรณ์ในการคาดคะเน ด้านการปรับต้วในการพัฒนาพฤตินิสัย ด้านความตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนาพฤตินิสัย และ การพฤตินิสัยของผู้กระทำผิดโดยรวมได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001
เอกสารอ้างอิง
กฤษณพงค์ พูตระกูล และเสกสัณ เครือคํา, การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบงานราชทัณฑ์ไทยเปรียบเทียบกับประเทศมาเลเซีย (รายงานวิจัย) (กรุงเทพฯ: สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, 2562).
ปริญญา หวันเหล็ม, “จากโรงทานสู่เรือนจำ ว่าด้วยคุณค่าและแก้ไขการเยียวยาผู้กระทำผิดผ่านวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์กระบวนการยุติธรรม” (2564) ปีที่:ฉบับที่ วารสารการจัดการและพัฒนาท้องถิ่นมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม.
พฤฒิพงศ์ ฤทธิรงค์ อนัญญา, จันทร์ไพบูลย์ และวรพล พินิจ, การศึกษาโครงการฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขังในเรือนจำชั่วคราวเขากลิ้ง จังหวัดเพชรบุรี (ตรัง: ม.อ, 2559).
วิไลภรณ์ โคตรบึงแก, “Clinical Social Work Practice: An Integrated Approach” (2563) 28:2 วารสารสังคมสงเคราะห์.ศุปณิภา ตันติชัยนุสรณ์และเปรมฤดี เพ็ชรกูล, “ปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับผู้พ้นโทษกลับคืนสู่ชุมชนของประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร” (2566) 33:2 วารสารมหาวิทยาลัยพายัพ.
เสริน ปุณณะหิตานนท์, การกระทำผิดในสังคม : สังคมวิทยาอาชญากรรมและพฤติกรรมเบี่ยงเบน (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2558).
National Association of Social Workers, Code of ethics of the National Association of Social Workers (24 January 2024) Code <http://www.socialworkers.org/pubs/code/code.asp>.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารวิชาการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความหรือข้อความคิดเห็นใด ๆ ที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นวรรณกรรมของผู้เขียนโดยเฉพาะ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และกองบรรณาธิการไม่มีส่วนรับผิดชอบหรือไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นนั้น แต่ประการใด

