การกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงาน: พฤติกรรม ที่มาและผลกระทบ และการป้องกัน
Main Article Content
บทคัดย่อ
การกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงานเป็นพฤติกรรมเชิงลบที่เกิดขึ้นซํ้าและต่อเนื่อง มีความเกี่ยวข้องกับ
ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจระหว่างผู้กระทำกับเป้าหมาย พฤติกรรมการกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงาน
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1) พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกที่เกี่ยวข้องกับงาน 2) พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก
ทางจิตวิทยา และ 3) พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกทางกาย การกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงานเกิดขึ้นจากปัจจัย
ส่วนบุคคลและปัจจัยด้านองค์การ โดยมีผลกระทบต่อการทำงาน สุขภาพ และคุณลักษณะทางเจตคติของ
พนักงาน รวมทั้งผลกระทบต่อผลิตภาพ ต้นทุน วัฒนธรรม และชื่อเสียงขององค์การ ในการลดการเกิดขึ้น
ของการกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงาน องค์การควรได้มีการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปราศจาก
การกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงานโดยการกำหนดนโยบายขึ้นมาเพื่อป้องกัน เช่น การกำหนดวิธีการรายงาน
พฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแก กระบวนการในการจัดการกับพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกและการฝึกอบรม
เพื่อลดพฤติกรรมกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงาน เป็นต้น
Workplace bullying is a negative behavior that occurs repeatedly and continuously. Workplace bullying is associated with inequality of power between the actor and the target. Bullying behavior in the workplace was divided into three categories: 1) bullying related to work, 2) psychological bullying, and 3) physical bullying. Workplace bullying caused by personal factors and organizational factors. Bullying is affecting on work, health and affective domain of personnel, also the productivity, cost, culture, and the organization’s reputation. Organization should build a working environment free from bullying by creating the policy to prevent such as the determining how to report bullying behavior, the process of dealing with bullies and bullying behavior, and providing the training program to reduce workplace bullying.
Article Details
1. ทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารนวัตกรรมสังคมและการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นทัศนะของผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยกับทัศนะเหล่านั้นและไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
2. ความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความแต่ละบทเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน กรณีมีการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงฝ่ายเดียว
3. ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียนและมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์นได้รับการสงวนสิทธิ์ตามกฎหมาย การตีพิมพ์ซ้ำต้องได้รับอนุญาตโดยตรงจากผู้เขียนและมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์นเป็นลายลักษณ์อักษร