แนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ
คำสำคัญ:
แนวทางการจัดการความรู้, วินัยในตนเองของนักเรียน, โรงเรียนขยายโอกาสบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน 2) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนและ 3) ประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและผู้บริหาร โรงเรียนขยายโอกาส และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 302 คน จาก 1,423 คน ได้มาโดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่ และมอร์แกน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการจัดลำดับความสำคัญของต้องการจำเป็น (PNImodified) ระยะที่ 2 การศึกษาแนวทาง แบ่งออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ 1) ศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 12 คน แบ่งเป็น กลุ่มผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน กลุ่มข้าราชการครูจำนวน 4 คน และกลุ่มศึกษานิเทศก์ จำนวน 4 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบบันทึกการประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group Meeting) 2) การประเมินแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 12 คน โดยใช้กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มเดียวกันกับตอนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ใช้เครื่องมือเป็นแบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องผลการศึกษา พบว่า
1) สภาพปัจจุบันของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน
2) ผลการศึกษาแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬโดยมีหลักการสำคัญของการจัดการความรู้ ดังนี้ 1) การกำหนดความรู้ 2) การสร้างความรู้ 3) การเก็บความรู้ให้เป็นระบบ 4) การแลกเปลี่ยนและแบ่งปันความรู้ และ5) การนำความรู้ไปใช้
3) ผลการประเมินแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ ดังนี้ ค่าเฉลี่ยของด้านความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้องของแนวทางการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาวินัยในตนเองของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา บึงกาฬโดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( 𝑥̅= 5.00)
เอกสารอ้างอิง
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน. (2560). รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2560. กรุงเทพฯ: กระทรวงยุติธรรม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560). กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,หน้า7.
เกษรา เพิ่มสุขรุ่งเรือง. (2563). องค์ประกอบการเสริมสร้างวินัยนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต,สาขาการบริหารการศึกษา,คณะศึกษาศาสตร์,มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ณัฐธยาน์ วันภักดี. (2561). ความมีวินัยและแนวทางการเสริมสร้างวินัยในตนเองของนักเรียนโรงเรียนอนุบาลสุขสวัสดิ์. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต,สาขาการบริหารการศึกษา,คณะศึกษาศาสตร์,มหาวิทยาลัยบูรพา.
ทิศนา แขมมณี. (2555). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ครั้งที่ 15. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,หน้า 42.
เรืองทรัพย์ ติดมา. (2551). การพัฒนาการดำเนินงานเสริมสร้างวินัยนักเรียนด้านความ รับผิดชอบโรงเรียนศรีวิไลวิทยา อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย. การศึกษาค้นคว้าอิสระ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม,หน้า 15-16.
วุฒิชัย มูลศิลป์. (2554). สมเด็จพระปิยมหาราชกับการปฏิรูปการศึกษา. ( พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: พิมพ์คำ,หน้า 78.
ศิริศักดิ์ พันธวงษ์. (2563). การพัฒนาวินัยนักเรียนโรงเรียนชุมชนบ้านตูมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต,สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,คณะครุศาสตร์,มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ศุภวรรณ ทองลาด. (2564). แนวทางการเสริมสร้างวินัยในตนเองของนักเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาตรมหาบัณฑิต,สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,คณะศึกษาศาสตร์,มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
สถาบันพัฒนาผู้บริหารการศึกษา. (2552). การจัดการความรู้ในสถานศึกษา. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว,หน้า 12.
สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต. (2553). ทฤษฎีและเทคนิคการปรับพฤติกรรม (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,หน้า 112.
สัตยา ไชยเชษฐ์. (2564). แนวทางการพัฒนาการดำเนินงานเสริมสร้างวินัยนักเรียนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาตรมหาบัณฑิต,สาขาการบริหารการศึกษา,คณะครุศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ. (2567). แผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567. บึงกาฬ: สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ,หน้า 51-52.
สิทธิชัย ศรีวะอุไร. (2561). แนวทางการเสริมสร้างวินัยนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาตรมหาบัณฑิต,สาขาการบริหารการศึกษา,คณะครุศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.
Cronbach, L. J. (1970). Essentials of Psychological Test (5th ed.). New York: Harper Collins,161
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities.Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการแสงอีสาน Saeng-Isan Academic Journal ISSN:3027-6152(Print), ISSN:3027-6160(Online)

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เชียนบทความโดยตรง ซึ่งวารสารไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ผู้เขียนทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์เผยแพร่นั้น จะต้องไม่เป็นบทความที่กำลังอยู่ในการพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่นหรือเคยตีพิมพ์เผยแพร่มาแล้ว หากมีการใช้ภาพ ข้อความหรือตารางของผู้เขียนหรือผู้นิพนธ์ท่านอื่น ผู้เขียนจะต้องอ้างแหล่งที่มาหรือเจ้าของลิขสิทธ์
Publication Ethic:
The detail published in Saeng Isan Journal is opinion and responsibility of the authors, and it is not relevant with the jouranl. Besides, the authors must certify that the original manuscript is not in the process to publish in other journals or used to publish in other journals. If the authors use paragraphs, pictures or tables from others, the athours must refer to the original sources.
Article Consideration:
Each article will be published by a panel three journalists with expertise in relevant fields, and get the editorial approval before publishing. The review is in the form of The article's double blind.
To comply with copyright law. The author must sign the copy of the article submission form to the journal. In addition, the author must confirm that the original article submitted to the journal is only one publication in Saeng Isan Journal. If the images or tables of other authors appearing in other publications are used, the author must ask permission of the copyright owner before publishing.