ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวาน และความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ 2)เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้และผู้ป่วยที่คุมความดันไม่ได้ จำนวน 341 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า 1. ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2. การเปรียบเทียบความแตกต่างของเปรียบเทียบระดับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมสุขภาพ 3 อ. 2 ส. ของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี จำแนกตามอายุ อาชีพ และระดับการศึกษาโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามเพศโดยรวมไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนารูปแบบเกี่ยวกับส่งเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตหิตสูงในด้านต่างๆ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพให้เหมาะสมกับโรค และพฤติกรรมการรับประทานอาหารการดูแลสุขภาพทั่วไป และการรับประทานยาอย่างต่อเนื่องรวมถึงการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องสนับสนุน/ส่งเสริมการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงและการปฏิบัติตนที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่องปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความเชื่อเกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงในการปฏิบัติตน ซึ่งเชื่อมโยงเกี่ยวกับการสนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
Article Details
เอกสารอ้างอิง
จงมณี สุริยะ. (2556). โปรแกรมสุขศึกษาโดยประยุกต์ทฤษฎีการรับรู้ความสามารถตนเองเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลเท้า ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (สาธารณสุขศาสตร์) สาขาวิชาสุขศึกษาและพฤติกรรมศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล.
ดวงกมล ศักดิ์เลิศสกุล. (2549). สุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Health). สืบค้นเมื่อ 8 ธันวาคม 2563. จาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=140405
ดวงเดือน พันธุมนาวิน. (2539). ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมการวิจัยและการพัฒนาบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นุสรา บุญทศ และคณะ. (2556). การเสริมสร้างการรับรู้ความสามารถของตนด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของกลุ่มเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร. การประชุมวิชาการสุขศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 10. วันที่ 24-26 กรกฎาคม 2556. 61-73.
พรรณทิพย์ หมื่นรักษ์. (2551). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของประชาชน ตำบลหน้าถ้าอำเภอเมือง จังหวัดยะลา. ภาคนิพนธ์พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม.บัณฑิตวิทยาลัย : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
รุจิมา สายเพชร. (2546). พฤติกรรมสุขภาพประชาชน กรณีศึกษาเขตบริการสถานีอนามัยหนองหิน ตําบลสวนกล้วย จังหวัดศรีษะเกษ. ภาคนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม. สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์.
วิชิต เปานิล. (2546). ระบบ โครงสร้าง และกลไกในการพัฒนาและคุ้มครองภูมิปัญญาไทสุขภาพวิถีไท: มาตรฐานด้านการศึกษาสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข. สืบค้นเมื่อ 6 กันยายน 2562. จาก http://library.hsri.or.th/res.doc
สมศรี บุญจันทร์. (2549). พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์มุสลิม : ศึกเฉพาะกรณี อำเภอเรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส. ภาคนิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาพัฒนาสังคม. สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์.
สุริตา คณาดี. (2556). การพัฒนารูปแบบการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเบาหวานโดยการประยุกต์ใช้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ. การประชุมวิชาการสุขศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 10. วันที่ 24-26 กรกฎาคม 2556. 25-39.
Nutbeam,D. (2000). The evolving concept of Health Literacy. Soc Sci Med. 67(12). 2072-2078.
Rootman. (2002). Three perspectives on the placebo response: Expectancy conditioning and meaning. Advances in Mind-body Medicine. 16(1). 216-232.
Taro Yamane. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rd Ed. New York : Harper and Row Publications.