ความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานของผู้หญิง: กรณีศึกษาในจังหวัดขอนแก่น
คำสำคัญ:
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง การทำงานของผู้หญิง ความไม่เสมอภาคทางเพศ เพศภาวะบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานของผู้หญิง และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานของผู้หญิง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ หน่วยในการวิเคราะห์เป็นระดับปัจเจก ได้แก่ ผู้หญิงที่ทำงานในองค์กรรัฐและเอกชน จำนวน 398 คน ในพื้นที่ 9 เขตเทศบาลของจังหวัดขอนแก่น ที่สุ่มมาแบบหลายขั้นตอน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2561 เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและสถิติถดถอยพหุคูณรูปแบบพหุระดับ ผลการวิจัย พบว่า ผู้หญิงที่ทำงานในองค์กรรัฐและเอกชน ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในช่วง Generation Y (19-38 ปี) ร้อยละ 55.5 โดยมีอายุเฉลี่ย 37.6 ปี ร้อยละ 51.3 สมรสแล้ว และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ร้อยละ 43.7 ผู้หญิงร้อยละ 39.9 ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่ และร้อยละ 40.7 ทำงานมาแล้วมากกว่า 10 ปี ผู้หญิงที่ทำงานในองค์กรรัฐและเอกชน ถูกกระทำความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานระดับค่อนข้างสูงและสูง คิดเป็นร้อยละ 23.9 ผลการวิเคราะห์ด้วยสถิติถดถอยพหุคูณรูปแบบพหุระดับพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานของผู้หญิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ประเภทองค์กรที่ทำงานขนาดกลาง ความรู้ ความเข้าใจในสิทธิแรงงานหญิง การขัดเกลาบทบาททางเพศ และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการทำงาน ทั้งนี้ตัวแปรอิสระทั้งหมดที่นำมาวิเคราะห์สามารถอธิบายการผันแปรของความรุนแรงเชิงโครงสร้างในการทำงานของผู้หญิงได้ร้อยละ 27.1 (R2= 0.271)
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา แก้วเทพ. (2544). สตรีศึกษา 2 ผู้หญิงกับประเด็นต่าง ๆ. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์.
จงจิตต์ โศกนคณากรณ์. (2553). สังคมวิทยาสตรี. (ม.ป.ท): มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
จิระพงค์ เรืองกุน. (2560). การกลั่นแกล้งรังแกกันในที่ทำงาน: พฤติกรรม ที่มาและผลกระทบ และการป้องกัน. วารสารมหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น. 11(2), 9-20.
โชติมา กาญจนกุล. (2540). ความรุนแรงในครอบครัว : การศึกษาการทำร้ายร่างกายภรรยา. ดุษฎีนิพนธ์ การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนศึกษาศาตร์ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ดุษฎี อายุวัฒน์ และวณิชชา ณรงค์ชัย. (2556). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเข้าใจเรื่องสิทธิแรงงานของ แรงงานนอกระบบ ในชนบทจังหวัดขอนแก่น. วารสารมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์. 30(1), 17-50.
ไทยรัฐ. (2555). พบสาวไทยเผชิญปัญหา กีดกันการงานตำแหน่งสูงๆ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ. ไทยรัฐออนไลน์. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2560, จาก https://www.thairath.co.th/content/243365
ธิติวุฒิ หมั่นมี (2557). การสร้างความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. 5(2), 93-105.
ปวีณา ลี้ตระกูล. (2557). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างผู้หญิงและผู้ชายในตลาดแรงงาน ของประเทศไทย. วารสารเศรษฐศาสตร์และนโยบายสาธารณะ. 5(9), 38-54.
ปาริฉัตร ตู้ดำ และชาลี ไตรจันทร์. (2556). ปัจจัยที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในองค์กร ภาครัฐ: การทบทวนวรรณกรรม. วารสารนักบริหาร. 33(3), 25-32.
นวลพรรณ ไม้ทองดี. (2553). การเลือกปฏิบัติและความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างชายและหญิง: กรณีลูกจ้าง เอกชนในวิชาชีพชั้นสูง. วิทยานิพนธ์ปริญญาเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (พัฒนาการเศรษฐกิจ) สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์. สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
นัฐวุฒิ สิงห์กุล. (2557). แนวคิดสตรีนิยมแนวสังคมนิยม. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560, จาก
https://nattawutsingh.blogspot.com/2014/01/blog-post_9657.html
นาถฤดี เด่นดวง และสุพจน์ เด่นดวง. (2557). ความรุนแรงในชีวิตแรงงานหญิง. กรุงเทพฯ: ลุคแอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด.
วรรณวิสา แย้มเกตุ. (2558). ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาตนเองในการทำงานของพนักงานธนาคารสายลูกค้า บุคคลของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง. การค้นคว้าอิสระบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ.
วิทยากร บุญเรือง. (2556). การไม่เลือกปฏิบัติต่อแรงงาน การเลิกจ้างที่เป็นธรรม. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2560, จาก https://bact.cc/2013/labour-non-discrimination-fair-dismissal/
สมเกียรติ ชูศรีทอง, ดุษฎี อายุวัฒน์, และสุกัญญา เอมอิ่มธรรม. (2552). การใช้สิทธิแรงงานของลูกจ้างในจังหวัด
ขอนแก่น. บทความการประชุมวิชาการเสนองผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 12 ณ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 12-13 กุมภาพันธ์ 2552. หน้า 1990-2002.
สุเทพ สุนทรเภสัช. (2540). ทฤษฎีสังคมวิทยาร่วมสมัย : พื้นฐานแนวความคิดทฤษฎีทางสังคมและ วัฒนธรรม. เชียงใหม่: โกลบอลวิชั่น.
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2559). สรุปผลที่สำคัญการทำงานของสตรีในประเทศไทย พ.ศ.2559. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2560, จาก https://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/pocket_work_woman59.pdf
__________________. (2560). สำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ.2560 ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดขอนแก่น. สืบค้นเมื่อ วันที่ 7 พฤษภาคม 2560, จาก
https://issuu.com/khonkaen.nso.go.th/docs/2017-industrial-census-basic-inform
สำนักแรงงานจังหวัดขอนแก่น. (2560). รายงานสถานการณ์และดัชนีชี้วัดภาวะแรงงานจังหวัดขอนแก่น รายปี 2560 (มกราคม - ธันวาคม). สืบค้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561, จาก
https://khonkaen.mol.go.th/node/1436
อรวรรณ อรุณวิภาส. (2549).ความรู้และการใช้สิทธิจากการเป็นผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ. 2533 กรณีศึกษาลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม จังหวัด สมุทรสาคร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลอลงกรฌ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์.
อภิญญา ดิสสะมาน. (2553). บทความส่งจดหมายข่าวสถาบันพระปกเกล้าลดความรุนแรง ท่ามกลางสถานการณ์ ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ. สืบค้นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2560, จาก https://kpi.ac.th/media/pdf/M8_252.pdf
อารยา เชียงของ และคณะ. (2555). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการถูกกระทำรุนแรงของพยาบาลในสถาน ประกอบการ. วารสารพยาบาลสาธารณสุข. 26(3), 45-62.
Alessandri, G., et al. (2015). From Positive Orientation to Job performance: The Role of Work Engagement
and Self-efficacy Beliefs. Journal of Happiness Studies. 16(3), 767-788.
Bandura, A. (1999). Social cognitive theory: An agentic perspective. Asian Journal of Social Psychology. 2, 21-41.
Baron, L. and Morin, L. (2010) The Impact of Executive Coaching on Self-Efficacy Related to Management Soft Skills. Leadership & Organization Development Journal. 31, 18-38.
Beauvoir, Simone de. The Second Sex. Translated by H. M. Parshley. New York: Vintage Books, 1989. English translation of Le deuxième sexe (Paris: Gallimard, 1949).
Butler, J. (1988). Performative Acts and Gender Constitution: An Essay in Phenomenology and Feminist Theory. Theatre Journal. 40(4), 519.
Cochran, W.G. (1977). Sampling Techniques. 3rd ed. New York: John Wiley & Sons.
David, B. (1980). Conditioning Diagnostics: Collinearity and Weak Data in Regression. New York: Wiley.
Galtung, J. (1969). Violence, Peace, and Peace Research. Journal of Peace Research. 6, 167-191.
Jacobsen, J. P. (2007). The Economics of Gender. Malden: Blackwell Publishing.
Lindsey, L.L. (2015). Gender Roles: A Sociological Perspective. 6th ed. New York: Pearson Education, Inc.
Matthiesen, S. B. & Einarsen, S. (2007). Perpetrators and targets of bullying at work: role stress and individual differences. Violence and Victims. 22(6), 735-753.
Marx, K. (1970). A Contribution to the Critique of Political Economy. New York: International Publishers.
Miller, S., & Fredericks, M. (2003). The nature of “evidence” in qualitative research methods. International Journal of Qualitative Methods. 2(1). Article 4.
Rakoczy, C. (2017). Employee Rights in the Workplace. Retrieved July 12, 2018, from
https://business.lovetoknow.com/business-operations-corporate-management/employee-rights-workplace
Schwank, D.A. (2013). Barriers for Women to Positions of Power: How Societal and Corporate Structures, Perceptions of Leadership and Discrimination Restrict Women's Advancement to Authority. Earth Common Journal. 3(2). Retrieved July 12, 2018, from
https://www.inquiriesjournal.com/authors/1993/dee-ann-schwanke
United Nations Entity for Gender Equality and the Empowerment of Women. (2016). CEDAW: Restoring Rights to Women. Retrieved January 15, 2018, from
https://www.humanrightscenter.go.th/DocLib4/cedaw1.pdf
Wijk, Christine van and Francis Jennifer (1999). Setting the Stage: Global Trends in Gender and Demand Responsive Water Supply, Sanitation and Hygiene. The Hague, The Netherlands, IRC International Water and Sanitation Centre.
Wood, G.J. & Lindorff, M. (2001). Sex differences in explanations for career progress. Women in Management Review. 16 (4), 152-162.
Yamauchi, F & Tiongco, M. (2013). Why women are progressive in education? Gender disparities in human capital, labor markets, and family arrangement in the Philippines. Economics of Education Review. 32(C), 196-206.