มุมมองด้านจริยศาสตร์เรื่องการทำแท้งในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 ตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก

บทคัดย่อ

การวิจัยเชิงคุณภาพ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เปรียบเทียบมุมมองจริยศาสตร์เรื่องการทำแท้งในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 ตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก 2) แนวทางการดำเนินงานด้านคำสอนและการอภิบาลคริสตชนเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทย เก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 11 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ ประเด็นการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลจากการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิโดยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า
1.การเปรียบเทียบมุมมองจริยศาสตร์เรื่องการทำแท้งในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 ตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
กฎหมายการทำแท้งของประเทศไทย (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดความถูกต้องสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ข้อ 28 โดยให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของหญิงผู้ตั้งครรภ์และสิทธิในการมีชีวิตของทารกในครรภ์มีความสมดุลมากขึ้น โดยนำช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์มาเป็นหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ในขณะที่พระศาสนจักรคาทอลิกยืนยันหลักการเดิมที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งในทุกกรณี และให้ความสำคัญกับคุณค่าการกระทำของมนุษย์ ความดีสูงสุดที่ใช้เป็นเกณฑ์กำหนดในเรื่องการทำแท้งนั้น ไม่ได้อยู่ที่ความสมดุลของเสรีภาพในร่างกายของหญิง และสิทธิการมีชีวิตอยู่ของทารกในครรภ์ แต่อยู่ที่พระเจ้าเป็นผู้สร้างชีวิตและทรงเป็นเจ้าของชีวิต ชีวิตของทารกในครรภ์จะถูกล่วงละเมิดไม่ได้ตามบัญญัติประการที่ 5 ของบัญญัติ 10 ประการ และมาตรฐานที่วัดการกระทำของมนุษย์ คือ การทำแท้งโดยจงใจทุกกรณีเป็นความผิดศีลธรรมอย่างร้ายแรง และมีโทษหนักตามกฎหมายพระศาสนจักร ศีลธรรมตามคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกมุ่งที่ความดีสูงสุด ให้คุณค่าต่อการปกป้องชีวิตมนุษย์นับตั้งแต่มีการปฏิสนธิการปฏิบัติด้วยความเคารพต่อบทบัญญัติของพระเจ้าครอบคลุมทั้งทารกในครรภ์ หญิงผู้ตั้งครรภ์รวมไปถึงบุคคลอื่นที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการทำแท้งด้วย
2.แนวทางการดำเนินงานด้านคำสอนและการอภิบาลคริสตชนเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทย

2.1แนวทางการดำเนินงานด้านคำสอนเรื่องการทำแท้งในประเทศไทย 1) ควรมีการจัดพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับการทำแท้งระดับทางการและนำเอกสารเผยแพร่ที่เข้าใจง่ายออกมาเตือนและอธิบายอย่างต่อเนื่อง 2) ควรมีการอธิบายข้อคำสอนทำต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำแท้ง นอกจากการสอนคำสอนในห้องเรียน การเทศน์สอนโดยพระสงฆ์การเผยแพร่ในสื่อต่างๆ 3) ควรมีการเผยแพร่เอกสารคำสอนเกี่ยวกับการทำแท้งเพื่อให้เข้าถึงคริสตชนทุกสถานภาพ ให้สามารถมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง รู้วิธีป้องกันและวิธีการแก้ไข 4) ควรมีการสอนคำสอนที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง ในโรงเรียนเริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาที่ 6 และระดับอุดมศึกษา 5) พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยควรจะมีรูปแบบคำสอนหรือหลักสูตรคำสอนที่ชัดเจน เพื่อใช้สอนสัตบุรุษทั่วไปเรื่องการทำแท้งตามกฎหมายใหม่ในบริบทคริสตชน 6) ควรมีการพิจารณาถึงรูปแบบการสอนคำสอนที่เหมาะสมกับบุคคลที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับการทำแท้งหรือผู้ที่ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์และการทำแท้ง 7) ควรทบทวนและเน้นย้ำคำสอนเกี่ยวกับการทำแท้งให้แพทย์ พยาบาลและผู้เกี่ยวข้องในด้านสุขภาพ เพื่อการไตร่ตรองมโนธรรมของตน 8) ควรมีการส่งเสริมการหล่อหลอมมโนธรรมตามคำสอนพระศาสนจักรให้แก่ผู้ที่ต้องการทำแท้งหรือมีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ รวมไปถึงคริสตชนในทุกช่วงวัยเพื่อให้เข้าใจในหลักคำสอนและมีมโนธรรมที่ถูกต้อง
2.2แนวทางการอภิบาลคริสตชนเกี่ยวกับการทำแท้งในประเทศไทย 1) ควรเริ่มต้นที่รากฐานในการสร้างความสัมพันธ์ของคริสตชนกับพระเยซูเจ้าการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระเยซูเจ้า 2) ควรส่งเสริมให้คริสตชนเกิดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องต้นกำเนิดของชีวิตและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เพื่อที่บรรดา คริสตชนจะสามารถเข้าใจ ถึงพื้นฐานของหลักคำสอนในพระศาสนจักร 3) ควรมีการอภิบาลที่ไม่ขาดช่วงใน ทุกช่วงชีวิต และให้ครอบคลุมคริสตชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือปัญหาการทำแท้งให้เปิดใจรับฟังคำสอนอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา 4) บาทหลวง นักบวช ครูคำสอนต้องมีหน้าที่อภิบาลคริสตชนเขาให้เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น และควรเป็นตัวแทนสื่อกลางในงานอภิบาล และปลูกฝังค่านิยมคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามให้กับเด็กๆ และเยาวชนในชุมชนของตนเอง 5) ควรมีการอภิบาลเวชบุคคลที่เกี่ยวข้องให้คำสอน คำแนะนำที่ชัดเจนให้กำลังใจและพลังในการยืนหยัดทำสิ่งที่ถูกต้องตามมโนธรรมที่ถูกต้องของตน 6) ควรมีการอภิบาลเวชบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ใช้มโนธรรมตัดสินใจอย่างถูกต้องตามหลักคำสอนของพระศาสนจักร