การศึกษาผลการฝึกออกกำลังกายด้วยความหนักสลับเบาแบบสถานีต่อเส้นรอบเอว
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินเส้นรอบเอวต่อสะโพกของผู้เข้าร่วมการฝึกหนักสลับเบาแบบสถานี และเพื่อเปรียบเทียบเส้นรอบเอวต่อสะโพกก่อนและหลังเข้าร่วมการฝึกหนักสลับเบาแบบสถานี กลุ่มเป้าหมายคือบุคลากรที่มีเส้นรอบเอวต่อสะโพกเกิน 80 - 90 เซนติเมตรและสมัครใจเข้าร่วมโครงการ จำนวน 7 คน เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม จำนวน 5 ข้อ แบบบันทึกเส้นรอบเอวและสะโพกและโปรแกรมการฝึกหนักสลับเบาแบบสถานี จำนวน 10 สัปดาห์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเส้นรอบเอวต่อสะโพกก่อนและหลังฝึกออกกำลังกายด้วยค่าทดสอบ t-test dependent ผลวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 5 คน เป็นอาจารย์ในสถาบัน มีอายุเฉลี่ย 37 ปี มีเส้นรอบเอวต่อสะโพกเกินมาตรฐาน ร้อยละ 100 เส้นรอบเอวต่อสะโพก ก่อนฝึกโปรแกรมออกกำลังกายมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ = .89, S.D = .07 และหลังการฝึกโปรแกรมออกกำลังกายมีค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ
= .85, S.D = .07 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เส้นรอบเอวต่อสะโพกหลังออกกำลังกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .001 ผู้เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดทุกประเด็นคิดเป็นร้อยละ 100
Downloads
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ
บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่าหรือกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนาญาตจากวารสารวิชาการ ฯ ก่อนเท่านั้น
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (ม.ป.ป.). Know Your Numbers & Know Your Risks รู้ตัวเลข รู้ความเสี่ยงสุขภาพ. กรุงเทพ: อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข. (2561). ไม่อยากอ้วนลงพุง ผู้ชายอย่าให้เอวเกิน 36 ผู้หญิงอย่าเกิน 32 นิ้ว. สืบค้น พฤษภาคม 18, 2565, จาก https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=28377.
จันทร์เพ็ญ เลิศวนวัฒน. (2560, มกราคม - เมษายน). ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายแบบ T25 ต่อการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว ขนาดเส้นรอบเอวและค่าดัชนีมวลกายของนักศึกษาพยาบาลที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีจังหวัดตรัง. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ, 11(1), 184 - 194.
ลัชชี ชัชวรัตน์. (2562, ธันวาคม). ผลของการออกกำลังกายด้วยการเดินแบบนอร์ดิกต่อดัชนีมวลกายและเส้นรอบวงเอวในผู้สูงอายุที่มีภาวะน้ำหนักเกิน. พยาบาลสาร, 46(ฉบับพิเศษ), 1 - 12.
ศิริพร ภัทรกิจกำจร, ธรรมรัตน์ งาหัตถี, ลิ่มทอง พรหมดี, และเยาวลักษณ์ ธีระเจตกูล. (2554, มกราคม - เมษายน). การศึกษาเส้นรอบเอว ดัชนีมวลกายและอัตราส่วนรอบเอวต่อรอบสะโพกเพื่อการประเมินภาวะอ้วนจากการตรวจสุขภาพประจำปี. วารสารเทคนิคการแพทย์และกายภาพบำบัด, 23(3), 316 - 317.
สรายุธ มงคล, พัสวี ห่านสุวรรณากร, สุวัจนี มิคผล, และกมลชนก ศิวะกฤษณะกุล. (2562, มกราคม - กุมภาพันธ์). ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายเจ็ดนาทีต่อร้อยละต์ไขมันในร่างกายในคนอ้วนเพศหญิง. ศรีนครินทร์เวชสาร, 34(1), 75 - 82.
วรัญญา ทองใบ. (2563). ผลของโปรแกรมการออกกำลังกายแบบหนักสลับเบาที่มีต่อสุขสมรรถนะของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีภาวะน้ำหนักเกิน. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยนเรศวร.
อมรพันธ์ อัจจิมาพร, ชุติมณฑน์ เข็มทอง, และวารี วิดจายา. (2560, กรกฎาคม - ธันวาคม). ผลของการฝึกแบบวงจรด้วยความหนักสูงแบบประยุกต์โดยใช้น้ำหนักตัวเป็นแรงต้าน ต่อโครงสร้างร่างกายและอัตราการใช้พลังงานขณะพักของร่างกายในหญิงอ้วนที่มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา, 17(2), 109 - 120.
Esan, A., J. (2018, September). Effect of Circuit Strength Training Programmed on Waist-to-hip Ratio of College Students. Cypriot Journal of Educational Science, 13(3), 340 - 348
Jin, C., Rhyu, H., & Kim, J. Y. (2018, August). The Effects of Combined Aerobic and Resistance Training on Inflammatory Markers in Obese Men. Journal of Exercise Rehabilitation, 14(4), 660 – 665. Retrieved August 24, 2022, from https://doi.org/10.12965/jer.1836294.147.
World Health Organization. (2014). Global Recommendations on Physical Activity for Health. Retried May 22, 2022, from https://app.who.int/publications/handle/eng.pdf.