ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณความชื้นและ การเสื่อมสภาพของผนังอาคารโบราณสถาน : กรณีศึกษา พระอุโบสถ วัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
Main Article Content
บทคัดย่อ
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานและทรงคุณค่าทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ภาษา รวมไปถึงสถาปัตยกรรมโบราณสถานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความเป็นมาในอดีต แต่ด้วยระยะเวลาอันยาวนานทำให้โบราณสถานหลายแห่งเสื่อมสภาพลง ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของอาคารและศิลปกรรมคือ ความชื้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความเสียหายและตรวจวัดปริมาณความชื้นที่เกิดขึ้นในวัสดุผนังภายในของอาคารโบราณสถาน กรณีศึกษา อุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นนำผลที่ได้มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณผิวผนังภายในอาคารกับปริมาณความชื้นที่เกิดขึ้น การประเมินความเสียหายของผิวผนังภายในอาคาร ทำโดยการประเมินด้วยสายตา จากนั้นนำมาวิเคราะห์โดยแบ่งความเสียหายเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับที่ 1 ผิวผนังไม่พบความเสียหาย ระดับที่ 2 ผิวผนังเกิดการพองของสี ระดับที่ 3 ผิวผนังเกิดการพองและหลุดลอกของสี การตรวจวัดปริมาณความชื้นภายในวัสดุอาคาร (Moisture content) ทำโดยอาศัยเครื่องมือวัดแบบไม่ทำลายพื้นผิวที่ตรวจหาปริมาณความชื้นจากค่าการนำไฟฟ้า โดยส่งคลื่นความถี่สูงผ่านเนื้อวัสดุเข้าไป ทำการวัดที่ผนังภายในอาคารด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือและทิศตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งละสองช่วงเสา จากนั้นนำผลที่ได้มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของสองตัวแปร (ระดับความเสียหายของผิวผนัง และปริมาณความชื้น) โดยการวิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณความชื้นต่อพื้นที่ผนังภายใน ณ จุดที่วัดความชื้น และแผนภูมิแสดงความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างปริมาณความชื้นและความเสียหายในแต่ละระดับความสูง จากการศึกษาพบว่า ความเสียหายในระดับที่ผิวผนังเกิดการพองและหลุดลอกของสี (ระดับที่ 3) พบมากที่ระดับความสูง 0.80 เมตร จากระดับพื้นภายในอาคาร และเมื่อพิจารณาตามลำดับของผนัง จะพบเห็นความเสียหายมากในผนังที่ 1 บริเวณช่วงล่างของผนัง ปริมาณความชื้นที่วัดได้อยู่ในช่วงประมาณ 45%-96% และความเสียหายรองลงมาคือ 2 ผิวผนังเกิดการพองของสี (ระดับที่ 2) พบมากในผนังที่ 1 และ 2 ซึ่งอยู่ ณ ระดับความสูงที่ 1-2 และ 2-3 ตามลำดับ จะพบว่ามีปริมาณความชื้นที่วัดได้อยู่ในช่วงประมาณ 15%-73% และระดับต่ำสุดคือ ไม่พบความเสียหายอย่างชัดเจน (ระดับที่ 1) พบมากในผนังที่ 3 และ 4 ซึ่งอยู่ ณ ระดับความสูงที่ 1-2 จะพบว่ามีปริมาณความชื้นที่วัดได้อยู่ในช่วงประมาณ 11%-48% และจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณผิวผนังภายในอาคารกับปริมาณความชื้นที่เกิดขึ้น พบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันอย่างชัดเจน ในระดับของลวดลายช่วงบนของผนังทั้งสี่ ได้แก่ ที่ความสูง 1.40 เมตร และ 1.70 เมตร แต่สำหรับระดับลวดลายช่วงล่างของผนัง ได้แก่ ที่ความสูง 0.40 เมตร 0.60 เมตรและ 0.80 เมตร แนวโน้มของความสัมพันธ์ระหว่างความเสียหายที่เกิดขึ้นบริเวณผิวผนังภายในอาคารกับปริมาณความชื้นที่เกิดขึ้นมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะในผนังที่ 2 และ 3 คือ ณ ตำแหน่งที่มีปริมาณความชื้นต่ำกลับพบความเสียหายมากและ ณ ตำแหน่งที่มีปริมาณความชื้นสูงกลับพบความเสียหายน้อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำการศึกษาต่อไปถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้น
Article Details
เอกสารอ้างอิง
กรมศิลปากร. กลุ่มวิชาการอนุรักษ์โบราณสถาน. ลายเส้นโบราณสถาน วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร. กรุงเทพฯ : โครงการอนุรักษ์และพัฒนาวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร กรมศิลปากร, 2553.
กรมศิลปากร. ฝ่ายอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง และประติมากรรมติดที่. สรุปผลการสัมมนาเรื่องการอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนัง และการอนุรักษ์พระพุทธรูป. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ ฟอร์ดแห่งประเทศไทย, 2533.
จิราภรณ์ อรัณยะนาค. “การเสื่อมสภาพของโบราณสถานและโบราณวัตถุ.” ใน การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 21 สาขาสิ่งแวดล้อม 31 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2526, ส่วนที่ 21 : (12 หน้า). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2556.
เธียรวิภา กลิ่นบุบผา. “ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางชีวภาพและกายภาพที่ส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของโบราณสถานบางแห่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา.” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2552.
พัชร์วิไล พงษ์พานิช. “อัตราการกัดกร่อนอิฐเก่าจากก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์.” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547.
ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์. “การศึกษาสถาปัตยกรรมวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร.” วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม, คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.
วิชญาดา เตชาดิศัย. “ประสิทธิภาพของสารกันซึมที่ใช้เคลือบผิวอิฐเพื่อป้องกันความชื้น.” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สหสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สภาวะแวดล้อม, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
สุริยน ศิริธรรมปิติ. “ปัจจัยที่มีผลต่อการควบแน่นในโบราณสถาน: กรณีศึกษาพระอุโบสถวัดกำแพง.” วิทยานิพนธ์ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีอาคาร, ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2542.
สุวิชา เบญจพร. “อิทธิพลของความชื้นที่แทรกซึมผ่านผนังทึบของอาคารปรับอากาศ.” วิทยานิพนธ์ปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาเทคโนโลยีอาคาร, ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.
อนัญญา โพธิ์ประดิษฐ์. “ความผันแปรของการสะสมความชื้นในผนังอาคารโบราณสถานบางแหงในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม, ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2554.
อนงค์ อนันต์รัตนสุข. “รายงานผลการดําเนินภารกิจงาน ของสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา” พระนครศรีอยุธยา : สำนักงานวัฒนธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, 2555.
อรรจน์ เศรษฐบุตร, ณัฐนี วงศ์วีระนนท์ชัยและสริน พินิจ. แนวทางการแก้ปัญหาความชื้นในองค์พระพุทธไสยาสน์ วัดสะตือ จ.พระนครศรีอยุธยา, เอกสารประกอบการประชุมวิชาการครบรอบ 25 ปี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ขอนแก่น : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2556.
Beall, Cristine. Thermal and Moisture Protection Manual for Architects, Engineers, and Contractors. New York: McGraw-Hill Companies, 1999.
Gratwick, R.T. Dampness in Building. London: Crosby Lockwood Staples, 1974.