บทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ไทยแลนด์ 4.0
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ไทยแลนด์ 4.0 และ 2) เปรียบเทียบบทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ไทยแลนด์ 4.0 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ พระสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี ประกอบไปด้วย 6 ตำบล 72 หมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น 248 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมานค่า 5 ช่วงชั้น แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .96 และปัญหาเกี่ยวกับบทบาทของการเลือกปฏิบัติระหว่าง .34 และ.79 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว(One-way ANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า 1)บทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ไทยแลนด์ 4.0 ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านหลักคุณธรรม ด้านหลักนิติธรรม ด้านการมีส่วนร่วม ด้านหลักความโปร่งใส ด้านความรับผิดชอบ ด้านความคุ้มค่า 2)เมื่อเปรียบเทียบบทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์ ที่มีอายุต่างกัน เกี่ยวกับบทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาทุนมนุษย์สู่ไทยแลนด์ 4.0 ในเขตปกครองคณะสงฆ์อำเภอวังสามหมอ จังหวัดอุดรธานี โดยรวมและเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน
Article Details
เอกสารอ้างอิง
เกษม จันทร์แก้ว. (2540). วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม. กรุงเทพมหานคร : อักษรสยาม.
ธันยวัฒน์ รัตนสัค. (2555). นโยบายสาธารณะ. เชียงใหม่ : คะนึงนิจการพิมพ์.
บุญชม ศรีสะอาด. (2535). การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร : สุวีริยาสาส์น.
พระครูปลัดสุริยา จนฺทวณฺโณ(ดอกรัง). (2559). การบริหารงานกิจการคณะสงฆ์ธรรมยุตจังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด. 5(2). 136-146.
พระมหาชินวัฒน์ ธมฺมเสฏฺโฐ. (2557). การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลเมืองสามพรานอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระสมคิด นิติสาโร (ธรรมคุณ). (2559). ความคิดเห็นของพระสงฆ์ที่มีต่อการบริหารงานของพระสังฆาธิการในเขตอำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด. 5(1). 307-321.