การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง My family ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2)เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง My family ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนกับเกณฑ์ ร้อยละ 70 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ต่อการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 23 คน ซึ่งกำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนบ้านหลุง(ใหม่บุรพาคม) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1)แผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ 2)แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้ Wilcoxon Signed Ranks Test 3)แบบทดสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์การพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง My family ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์การพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เรื่อง My family ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) แบบทดสอบความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์โดยรวมอยู่ในระดับมาก
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
จุฑาทิพย์ ชัยภพ. (2564). การพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจและการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. นครราชสีมา : โรงเรียนบัวใหญ่ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา.
ทิศนา แขมมณี. (2547). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพรูปแบบการเรียน การสอนทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์.
นุรอานี โตะโยะ. (2555). ผลของการสอนตามแนวคิดวิธีธรรมชาติต่อความสามารถทางภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับเตรียมความพร้อม. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ : มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
Anderson. (1999). Exploring Second Language Reading: Issues and Strategies. Boston, MA : Heinle & Heinle.
Duffy, T. M., & Cunningham, D. J. (1996). Constructivism: Implications for the Design and Delivery of Instruction. In D. H. Jonassen (Ed.), Handbook of Research for Educational Communications and Technology. NY : Macmillan Library Reference USA.
Eskey, D. (2005). Reading in a Second Language. In E. Hinkel (Ed), Handbook of research on second language teaching and learning (pp. 563-580). Mahvah, NJ : Lawrence Erlbaum.
Harmer, J. (2007). The Practice of English Language Teaching. Harlow : Pearson Education.
NCSALL. (2005). The Relationship of the Component Skills of Reading to Performance on the International Adult Literacy Survey (IALS). English : National Center for the Study of Adult Learning and Literacy, Boston, MA.
Oranpattanachai, P. (2010). Perceived Reading Strategies Used by Thai Pre-Engineering Students. ABAC Journal. 30(2). 26-42.
Pretorius and Naude. (2002). A Culture in Transition: Poor Reading and Writing Ability Among Children in South African Townships. Early Child Development and Care. 172(5). 439-449.