ผลกระทบของการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาต่อสมาชิกภาพของเกษตรกรโครงการหลวง

Authors

  • ธเนศ ศรีวิชัยลำพันธ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • ศรันย์ อารยะรังสฤษฏิ์ ภาควิชาพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • เยาวเรศ เชาวนพูนผล ภาควิชาพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์เกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Abstract

สรุป

งานวิจัยเรื่อง “ผลกระทบของการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาต่อสมาชิกภาพของเกษตรกรโครงการหลวง” มีวัตถุประสงค์ 4 ประการได้แก่ วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตและการตลาดของเกษตรกร ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและการไหลเวียนเข้าออกของสมาชิกโครงการหลวง ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นสมาชิกของเกษตรกรและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานตามเป้าหมายของศูนย์พัฒนาของโครงการหลวง

            ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นข้อมูลปฐมภูมิซึ่งได้จากการรวบรวมข้อมูลภาคสนามโดยใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์เกษตรกรจำนวน 234 ราย โดยแบ่งเกษตรกรออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มที่ปัจจุบันยังคงเป็นสมาชิกโครงการหลวง กลุ่มที่เคยเป็นสมาชิกแต่ได้ลาออกไปแล้ว และกลุ่มที่ไม่เคยเป็นสมาชิก เกษตรกรตัวอย่างทั้งหมดอยู่ในเขตพื้นที่ของศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 6 แห่ง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาแม่แฮใต้ อินทนนท์ และหนองหอย ซึ่งมีสมาชิกหมุนเวียนเข้าออกน้อย และศูนย์พัฒนาแม่ปูนหลวง แม่ทาเหนือ และแม่แพะ ซึ่งมีสมาชิกหมุนเวียนเข้าออกมาก

            การเสนอผลการวิจัยได้จัดแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการเสนอข้อมูลที่สำคัญของประชากรตัวอย่างและอีกส่วนหนึ่งเป็นการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาต่อเกษตรกรซึ่งผลการวิจัยมีดังนี้

            ผลการวิจัยที่เกี่ยวกับประชากรตัวอย่างพบว่า เกษตรกรตัวอย่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ 80) เป็นชาย มีอายุระหว่าง 26-45 ปี ระดับการศึกษาสงสุดไม่เกินชั้นประถมปีที่ 4 ส่วนใหญ่มีเชื้อชาติกะเหรี่ยงและไทย โดยมีจำนวนสมาชิกในครัวเรือนระหว่าง 4-6 คน ในการเข้าเป็นสมาชิกของศูนย์พัฒนาทั้ง 2 กลุ่มที่มีสมาชิกเข้าออกมากและน้อย พบว่าส่วนใหญ่ได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โครงการหลวง โดยมีเหตุผลที่สำคัญได้แก่ ความคาดหวังว่าจะมีรายได้สูงขึ้น ได้รับการสนับสนุนในเรื่องของปัจจัยการผลิต และมีแหล่งรับซื้อผลผลิตส่วนผู้ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกส่วนใหญ่มีเหตุสำคัญได้แก่การที่เกษตรกรไม่สามารถผลิตผลผลิตให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดและการขาดแรงงานครอบครัวรวมทั้งการออกไปรับจ้างทำงานอื่น

            เมื่อพิจารณาจากการประกอบอาชีพพบว่าเกษตรกรตัวอย่างเกือบทั้งหมด (มากกว่าร้อยละ 90) ทำการเกษตรเป็นอาชีพหลักและในส่วนของผู้ที่เป็นสมาชิกอยู่ในปัจจุบันส่วนใหญ่มีที่ดินประมาณ 15 ไร่ต่อครัวเรือน มีการปลูกพืชหลายชนิดหมุนเวียนตลอดปีมีทั้งข้าวและพืชไร่ เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลืองและถั่วแดงรวมทั้งผักหลายชขิด สำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่จะปลูกไม้ผลและพืชไร่เป็นหลัก จากการที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตรทำให้รายได้จากภาคการเกษตรเกินกว่าร้อยละ 50 ของรายได้ทั้งหมดของครัวเรือนโดยมีรายได้เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 20,001-50,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี แต่เมื่อพิจารณาแยกกลุ่มตามการหมุนเวียนเข้าออกของสมาชิกพบว่า กลุ่มที่สมาชิกมีการหมุนเวียนเข้าออกน้อยมีรายได้สูงกว่า (ส่วนใหญ่ประมาณ 100,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี) เมื่อพิจารณารายได้นอกการเกษตรเปรียบเทียบระหว่าง 2 กลุ่มดังกล่าวพบว่ากลุ่มที่สมาชิกมีการหมุนเวียนเข้าออกมากมีรายได้น้อยกว่าเช่นกัน และเมื่อเปรียบเทียบผู้ที่เป็นสมาชิกและผู้ไม่เป็นสมาชิกพบว่า ผู้ที่เป็นสมาชิกมีจำนวนครัวเรือนที่มีรายได้นอกการเกษตรน้อยกว่าทั้งนี้เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่สามารถทำการผลิตได้ตลอดทั้งปี

            ในส่วนของรายจ่ายทางการเกษตรมีความแตกต่างกันตามปริมาณการผลิต ซึ่งมีค่าระหว่าง 5,000 – 50,000 บาท ส่วนรายจ่ายนอกการเกษตรไม่แตกต่างกันเท่าใด สำหรับแหล่งเงินทุนทางการเกษตรที่สำคัญ (โดยเฉพาะเกษตรกรที่เป็นสมาชิก) ได้แก่ สถาบันที่เกษตรกรเป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งศูนย์ฯ บางแห่งได้ร่วมกับ ธกส. ในการอำนวยความสะดวกในการจัดหาสิยเชื่อและปัจจัยการผลิต (ร้อยละ 63 ของสมาชิกทั้งหมด) สินเชื่อส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ยกเว้นเกษตรกรบางรายที่ปลูกไม้ผลระยะเวลาของสินเชื่อประมาณ 5 ปี ในส่วนของทรัพย์สินนั้นซึ่งสมาชิกมีอาชีพหลักทางการเกษตรทรัพย์สินส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเครื่องมือและวัสดุการเกษตร อย่างไรก็ตามทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน เกษตรกรส่วนใหญ่มีอยู่หลายประเภทเกือบทุกครัวเรือน

            สำหรับการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาพบว่าในส่วนการเปลี่ยนแปลงของจำนวนและการไหลเวียนของสมาชิกขอโครงการซึ่งใช้ Logit Model ในการวิเคราะห์ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อจำนวนการไหลเวียนของสมาชิกได้แก่ การมีความมั่นคงในชีวิต การได้รับความรู้จากโครงการ รายได้ที่ได้รับและระดับของการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการผลิตในระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง และสามารถอธิบายได้ว่าในการลาออกจากการเป็นสมาชิกนั้นเนื่องจากระดับรายได้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปหรืออาจลดลงเมื่อเป็นสมาชิก การไม่ได้รับความรู้ทางการผลิตจากเจ้าหน้าที่โครงการหรือไม่สามารถพึ่งพาโครงการได้ รวมทั้งความไม่มั่นใจในชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิก

            ความยั่งยืนทางการเกษตรสามารถพิจารณาได้จากรูปแบบของการผลิตและรายได้ทางการเกษตรซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เห็นว่าอาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่ตนถนัด  มีความมั่นคงและยืนยันที่จะประกอบอาชีพเกษตรเป็นหลักต่อไปโดยรักษาสถานภาพการเป็นสมาชิกอยู่และเมื่อพิจารณาผลกระทบของการผลิตที่มีต่อสิ่งแวดล้อมพบว่าพื้นที่ดำเนินงานของโครงการทำให้การแผ้วถางป่าลดลง ไม่มีการทำไร่เลื่อนลอย การใช้พื้นที่อยู่ในวงจำกัดประกอบกับมีการส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าไม้ควบคู่ไปด้วยจึงทำให้เกษตรสามารถใช้พื้นที่เพาะปลูกได้ตลอดปี

            ในด้านการตลาดกล่าวได้ว่าเกษตรกรสมาชิกโครงการไม่มีปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใดเนื่องจากโครงการจะรับซื้อผลผลิตตามปริมาณการผลิตที่ได้ตกลงกันไว้ในราคาประกัน ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดและเป็นราคาที่เกษตรกรพอใจ นอกจากนี้ในบางศูนย์ยังมีบริการห้องเย็นเพื่อเก็บรักษาผลผลิต ฝ่ายคัดบรรจุและขนส่ง และฝ่ายตลาด อย่างไรก็ตามมิได้มีการปิดกั้นไม่ให้เกษตรกรจำหน่ายผลผลิตด้วยตนเอง จากการศึกษาพบว่าเกษตรกรสมาชิกทั้งหมดจำหน่ายผลผลิตให้กับโครงการและพอใจกับราคาที่ได้รับแม้บางครั้งอาจได้รับราคาต่ำกว่าที่พ่อค้ารับซื้อแต่ในระยะยาวราคาผลผลิตที่ได้รับจากโครงการหลวงดีกว่าแหล่งอื่น

            ในปัจจุบันเกษตรกรมีแนวโน้มใช้สารเคมีในการเพาะปลูกมากขึ้น ก่อให้เกิดการตกค้างในดินและแหล่งน้ำซึ่งกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนทีเกี่ยวกับคุณภาพของดิน พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 88) เห็นว่าก่อนเข้าเป็นสมาชิกคุณภาพดินอยู่ในระดับที่ดีแต่หลังจากเข้าเป็นสมาชิกแล้วมีเกษตรกรที่ยังคงเห็นว่าที่ดินยังคงคุณภาพเดิมอยู่ในสัดส่วนที่ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณผลผลิตที่ได้รับซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าระดับของผลผลิตลดลง แม้ว่าเกษตรกรที่เข้าโครงการจะมีการใช้สารเคมีเพิ่มมากขึ้นแต่พบมีการใช้สารเคมีโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในสัดส่วนที่มากขึ้น (ก่อนเป็นสมาชิกร้อยละ 43 เมื่อเป็นสมาชิกสัดส่วนดังกล่าวเพิ่มเป็นร้อยละ 96) ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ได้รับความรู้จากการใช้สารเคมีจากเจ้าหน้าที่ศูนย์ เมื่อพิจารณาจากงานด้านสาธารณูปโภค การอนามัยและการศึกษาแล้ว การให้บริการดังกล่าวมีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้วในทุกศูนย์ แต่การให้บริการดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากการมีศูนย์ของโครงการหลวงเกิดขึ้นมาก่อนจึงมีงานบริการด้านอื่นตามมา ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ก็ได้รับบริการเหล่านี้ รวมทั้งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงในชีวิตที่มีต่อสมาชิก

            การดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ของศูนย์พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้แก่ การขาดแคลนบุคลากรซึ่งนับวันพื้นที่รับผิดชอบงานจะขยายออกไปมากขึ้น งบประมาณที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัดไม่ทันกับการขยายงาน การค้างชำระหนี้ของเกษตรกรซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นว่าสาเหตุของปัญหาดังกล่าวเป็นเพราะเกษตรกรขาดความรับผิดชอบในขณะที่บางรายไม่ยอมรับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ทำให้ผลผลิตที่ได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และมีปัญหาที่เกษตรกรบางส่วนไม่เข้าเป็นสมาชิกเนื่องจากยังไม่เข้าใจระบบปฏิบัติงานของ ธ.ก.ส แม้ว่าโดยหลักการแล้วจะอำนวยประโยชน์ให้แก่เกษตรกรโดยตรงซึ่งเจ้าหน้าที่เห็นว่าต้องมีการชี้แจงและใช้ระยะเวลาพอสมควรที่จะชักจูงให้เข้ามาเป็นสมาชิกในขณะเดียวกัน ธ.ก.ส ต้องปรับระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความคิดและวัฒนธรรมของเกษตรกรในพื้นที่ด้วย

Downloads