ผลกระทบของโรคไหม้คอรวงและประสอทธิภาพการผลิตข้าวขาวดอกมะลิ 105
Abstract
สรุป
ในปี 2542 เป็นปีการผลิตที่มีภูมิอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีในทุกพื้นที่ และมีการระบาดของโรคไหม้คอรวงน้อย การเกิดโรคมีเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้น ในเชียงใหม่พบว่าระดับของโรคไหม้สูงที่สุด คือ เฉลี่ยร้อยละ 26.37 ของจำนวนรวงต่อพื้นที่ 1 ตารางเมตร โดยมีค่าสูงสุดของโรคไหม้ร้อยละ 66.67 ในพิษณุโลกระดับความรุนแรงของโรค โดยเฉลี่ยร้อยละ 21.15 และสูงสุดที่ร้อยละ 61.74 ส่วนทุ่งกุลาร้องไห้มีระดับของโรคต่ำมาก คือ ค่าเฉลี่ยที่ 1.34 และค่าสูงสุดเพียง 9.57 แม้ว่าระดับของโรคไหม้ในเชียงใหม่จะสูงที่สุด แต่ปรากฏว่าน้ำหนักเมล็ดโดยเฉลี่ยมีค่าสูงที่สุดด้วย และไม่ว่าจะวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักเมล็ดกับความรุนแรงของโรค โดยรวมทุกพื้นที่หรือแยกเฉพาะพื้นที่ก็ไม่ปรากฏความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด
การประเมินผลผลิตจากอิทธิพลของโรคไหม้คอรวง ร่วมกับปัจจัยการผลิตและสภาวะแวดล้อมต่างๆด้วย stochastic production frontier สามารถแจกแจงผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ได้และพบว่าการเกิดโรคไหม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ทำให้ผลผลิตลดลงร้อยละ 0.52 ดังนั้นเมื่อประเมิน ณ ระดับโรคไหม้เฉลี่ยของจังหวัดเชียงใหม่และผลผลิตเฉลี่ยของเชียงใหม่ พบว่ารายได้ของเกษตรกรจะลดลง 442 บาท/ไร่ และในปีที่มีการระบาดของโรคไหม้รุนแรงนั้น มูลค่าความเสียหายอยู่ระหว่าง 552 – 1,048 ล้านบาท
ผลกระทบจากฝนแล้งรุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่มีภัยแล้งนั้น ทำให้ผลผลิตลดลงได้ถึงร้อยละ 35 แต่การมีน้ำชลประทานสามารถเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 15 ในขณะที่ความได้เปรียบของสภาพทั่วไปในเชียงใหม่สามารถให้ผลผลิตสูงกว่าพิษณุโลกและทุ่งกุลาร้องไห้ร้อยละ 17
ประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกรตัวอย่างในทุกพื้นที่เฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.70 สัดส่วนของเกษตรกรที่มีประสิทธิภาพระดับ 0.61 – 1.0 มีร้อยละ 76 ของจำนวนตัวอย่าง และพบว่าเกษตรกรในเชียงใหม่มีประสิทธิภาพการผลิตที่สูงที่สุด รองลงมาคือเกษตรกรในทุ่งกุลาร้องไห้และพิษณุโลกตามลำดับ
เกษตรกรร้อยละ 80 เข้าใจว่าตนเองรู้จักโรคไหม้คอรวง แต่ในความเป็นจริงเกษตรกรสามารถระบุอาการและลักษณะของโรคไหม้คอรวงได้ประมาณร้อยละ 40 และสามารถระบุสาเหตุของเกิดโรคได้เพียงร้อยละ 8 เท่านั้น มีเกษตรกรเพียงร้อยละ 27 ที่แก้ปัญหาเมื่อพบโรคไหม้ โดยส่วนใหญ่แก้ปัญหา 6 – 15 วัน หลังจากสังเกตเห็นโรค วิธีแก้ปัญหาของเกษตรกรที่สำคัญ คือ การพ่นสารเคมีซึ่งมีทั้งสารกำจัดแมลง และโรคหลากหลายชนิด เมื่อเกษตรกรพบปัญหามักปรึกษากันเองในครอบครัว มีเพียงร้อยละ 10 ที่ปรึกษาเจ้าหน้าที่เกษตรและผู้เชี่ยวชาญทางโรคพืช ร้อยละ 27 ไม่ปรึกษาใครเลยและการแก้ปัญหาของเกษตรกรนั้นร้อยละ 60 ระบุว่าสามารถลดความรุนแรงของโรคได้
Downloads
Issue
Section
License
All opinions and contents in the CMJE are the responsibility of the author(s). Chiang Mai University Journal of Economics reserves the copyright for all published materials. Papers may not be reproduced in any form without the written permission from Chiang Mai University Journal of Economics.
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏและแสดงในเนื้อหาบทความต่างๆในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียนบทความนั้นๆ มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆของวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความ เนื้อหา และข้อมูล ฯลฯ ในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่