สถานภาพความรู้ของเกษตรกรกับการแก้ปัญหาโรคไหม้คอรวงในข้าวหอมมะลิ
Keywords:
โรคไหม้, ดรคไหม้คอรวง, โรคใบไม้, ข้าวหอมมะลิ, ข้าว, ความรู้ของเกษตรกรAbstract
สรุป
การเกิดการระบาดของโรคไหม้คอรวงกับข้าวหอมมะลิ สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผลผลิตข้าวภายในประเทศกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับเกษตรกรที่ประสบความเสี่ยงจากโรคไหม้คอรวงความสูญเสียนับว่ารุนแรงเป็นอย่างยิ่ง การเกิดโรคไหม้ที่ระดับร้อยละ 50 ของจำนวนรวงข้าว จะทำให้สูญเสียรายได้ไร่ละ 442 บาท ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดโรคไหม้ที่ระดับร้อยละ 50 ของจำนวนรวงข้าวเกษตรกรใน จ.เชียงใหม่ที่มีรายได้สุทธิเหนือต้นทุนผันแปรเฉลี่ย 1,763 บาท/ไร่ รายได้ดังกล่าวจะลดลงเหลือ 1,320 บาท/ไร่ และเกษตรกรในพิษณุโลกรายได้สุทธิเหนือต้นทุนผันแปรจะลดลงจาก 317 บาท/ไร่ เป็นติดลบ 125 บาท/ไร่ ความสูญเสียต่อเกษตรกรรายบุคคลจึงรุนแรงมากสามารถทำให้เกษตรกรหลายเป็นผู้มีหนี้สินได้ในทันที ดังนั้นการป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรคจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง
ในปัจจุบันเกษตรกรมีความรู้ในเรื่องโรคไหม้จำกัดมาก แม้ว่าเกษตรกรจะมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวหอมมะลิโดยเฉลี่ยกว่า 12 ปี ก็ตาม (ประสบการณ์การปลูกข้าวโดยไม่เจาะจงพันธุ์ข้าวหอมมะลิ ย่อยาวนานกว่านี้) ประมาณร้อยละ 80 ของตัวอย่างเกษตรกรเข้าใจว่าตนเองรู้จักโรคไหม้แต่สามารถระบุสาเหตุและลักษณะได้ถูกต้องเพียงร้อยละ 43 และเมื่อตรวจสอบโดยละเอียดยิ่งขึ้นโดยให้เกษตรกรดูภาพถ่าย พบว่า เกษตรกรร้อยละ 8 เท่านั้นที่สามารถบอกได้ถูกต้องชัดเจน และร้อยละ 6 บอกได้ไม่ชัดเจน แสดงว่าเกษตรกรกว่าร้อยละ 80 ที่ตอบไม่ได้และตอบไม่ถูกต้อง การที่เกษตรกรตอบผิดนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาการของโรคที่ใบใกล้เคียงกับโรคอื่นๆ และมีอาการสุดท้ายที่คล้ายกันคือ ใบแห้ง และต้นข้าวตาย (โรคใบจุดสีน้ำตาล และโรคขีดสีน้ำตาล เป็นต้น) เมื่อทดสอบต่อไปโดยเปรียบเทียบคำตอบของเกษตรกรกับข้อมูลจากการเก็บตัวอย่างโรค พบว่าเกษตรกรร้อยละ 30 ตอบได้ถูกต้องว่ามีโรคไหม้ในแปลงนาของตนในระดับใด
เมื่อเกษตรกรพบว่าเกิดโรคไหม้ในนาของตนนั้น มีเพียงร้อยละ 17.5 ของเกษตรกร (ที่มีโรคไหม้) กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหา ส่วนร้อยละ 82.5 ไม่มีการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และในจำนวนที่มีการแก้ไขปัญหานี้ เกือบไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเหมาะสมเลย และส่วนใหญ่ไม่มีการแก้ไขในทันที (ภายใน 5 วัน) ดังนั้นการแก้ไขปัญหาโรคไหม้จึงไม่เป็นผล
เกษตรกรไม่นิยมปรึกษาใครนอกจากสมาชิกในครัวเรือนมีเพียงร้อยละ 10 ของเกษตรกรเท่านั้นที่ปรึกษาเจ้าหน้าที่เกษตรและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพืช การที่เกษตรกรไม่มีพฤติกรรมในการปรึกษาผู้ที่มีความรู้และไม่กระตือรือร้นในการแก้ไขปัญหา เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งโดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ และพิษณุโลก ซึ่งมีโรคไหม้ระบาดค่อนข้างมาก และมีโอกาสที่จะระบาดเมื่อความชื้นและอุณหภูมิเหมาะสมกับการระบาดความเสียหานจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีการป้องกัน
การให้ความรู้แก่เกษตรกรในเรื่องโรคไหม้ก่อนฤดูเพาะปลูก และการเตือนภัยเป็นระยะเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เป็นความจำเป็นที่ต้องกระทำทุกปี ทั้งนี้การให้ความรู้แก่เกษตรกรสามารถทำได้หลายช่องทาง โดยพิจารณาจากที่เกษตรกรให้ความสำคัญแก่แหล่งข้อมูล คือ การให้ความรู้ผ่านสื่อมวลชน (โทรทัศน์) ซึ่งจะได้ผลค่อนข้างดี สำหรับเกษตรกรใน จ.เชียงใหม่ และพิษณุโลก และโดยผ่านสหกรณ์ และธ.ก.ส.ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว นอกจากนี้ควรอาศัยประโยชน์จากสมาชิกในครอบครัวที่มีการศึกษาค่อนข้างดีในการเป็นสื่อนำความรู้ไปสู่เกษตรกร
แม้ว่าเกษตรกรตัวอย่างจะเน้นเฉพาะพันธุ์ข้าวหอมมะลิ แต่เกษตรกรเกือบทั้งหมดมีประสบการณ์ในการปลูกข้าวพันธุ์อื่นร่วมด้วย และโรคไหม้สามารถเกิดกับข้าวหลากหลายพันธุ์ ดังนั้นผลการศึกษานี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้กับข้าวพันธุ์อื่นๆด้วยเช่นกัน
Downloads
Issue
Section
License
All opinions and contents in the CMJE are the responsibility of the author(s). Chiang Mai University Journal of Economics reserves the copyright for all published materials. Papers may not be reproduced in any form without the written permission from Chiang Mai University Journal of Economics.
ข้อคิดเห็นที่ปรากฏและแสดงในเนื้อหาบทความต่างๆในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียนบทความนั้นๆ มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆของวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
บทความ เนื้อหา และข้อมูล ฯลฯ ในวารสารเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อหรือเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่