การวิเคราะห์การจำหน่ายผลผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกรในจังหวัดเชียงใหม่

Authors

  • กุศล ทองงาม

Abstract

สรุป

            จากผลการศึกษาที่ได้ชี้ให้เห็นว่า เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิส่วนใหญ่ยังคงขายผลผลิตที่ได้หมดทันทีหลังการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะเกษตรกรในอำเภอพร้าวซึ่งอยู่ไกลตัวเมืองเชียงใหม่มากกว่าอำเภอสันกำแพง โดยส่วนใหญ่จะขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อถึงไร่นา และกว่าร้อยละ 60 ไม่มีการสืบราคาที่โรงสีในขณะที่ตัดสินใจขายผลผลิต และแม้ว่ารัฐจะมีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเพื่อช่วยชะลอการจำหน่ายในช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวก็ตาม แต่พบว่าเกษตรกรในทั้ง 2 พื้นที่ยังให้ความสนใจน้อยด้วยเหตุผลต่างๆกัน

            ผลการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของดัชนีราคาข้าวเปลือกหอมมะลิ ณ ระดับฟาร์ม เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของราคาตามฤดูกาล เปรียบเทียบกับการตัดสินใจขายผลผลิตของเกษตรกร พบว่า นอกจากเกษตรกรส่วนใหญ่จะขายผลผลิตในช่วงการเก็บเกี่ยวซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีราคาต่ำมากจนเกือบต่ำสุดแล้ว (ต่ำสุดเดือนมกราคม) เกษตรกรที่เก็บผลผลิตไว้รอราคาส่วนใหญ่ยังขายผลผลิตที่เก็บไว้ไปในช่วงที่ดัชนีราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (23 รายการจาก 40 รายขายผลผลิตในช่วงเดือน ม.ค.-พ.ค. ซึ่งดัชนีราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ย) และพบว่ามีเพียง 3 รายเท่านั้นที่ขายผลผลิตไปในช่วงที่ให้ผลตอบแทนจากการเก็บผลผลิตไว้รอราคาที่สูงสุด

            สำหรับการวิเคราะห์ความแตกต่างจากการจำหน่ายผลผลิตข้าวหอมมะลิของเกษตรกร ปีการผลิต 2539/40 ที่มีต่อระดับรายได้โดยวิธีงบประมาณบางส่วน พบว่าการนำผลผลิตไปขายเองยังแหล่งรับซื้อมีทั้งทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นและน้อยลงกว่าการขาย ณ แหล่งผลิต ทั้งนี้เนื่องมาจากความแตกต่างระหว่างราคา ณ แหล่งรับซื้อเป็นสำคัญ ซึ่งพบว่าเกษตรกรในอำเภอพร้าวที่ขาดทุนจากการนำผลผลิตไปจำหน่ายถึงแหล่งรับซื้อนั้น จะนำผลผลิตไปขายที่โรงสีทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่เกษตรกรในอำเภอสันกำแพงซึ่งมรกำไรจากการนำผลผลิตไปจำหน่ายถึงแหล่งรับซื้อนั้น จะขายผลผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกรซึ่งให้ราคาดีกว่า แต่ก็ไม่ได้เพิ่มมากนัก จึงอาจกล่าวได้ว่าเพื่อความสะดวก เกษตรกรอาจเลือกที่จะขายผลผลิตที่ไร่นาดีกว่าการนำไปขาย ณ แหล่งซื้อ โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีผลผลิตไม่มาก เนื่องจากถ้านำไปขายยังแหล่งรับซื้อแล้วอาจไม่คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องเสียไป ซึ่งไม่ได้นำมาคิดเป็นต้นทุนในครั้งนี้ด้วย ส่วนเกษตรกรที่มีปริมาณผลผลิตมากๆ โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรถยนต์เป็นของตนเองในพื้นที่อำเภอสันกำแพงก็อาจเลือกที่จะนำผลผลิตไปขายเองจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากแหล่งรับซื้ออยู่ไม่ไกลจากไร่นามากนัก แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะเลือกขายที่แหล่งผลิต หรือนำไปขายเองที่แหล่งรับซื้อเกษตรกรควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับราคาและวิธีการรับซื้อจากแหล่งต่างๆอยู่เสมอก่อนตัดสินใจขาย เพื่อจะได้เลือกขายผลผลิตได้ถูกต้อง และไม่ต้องโดนกดราคาจากผู้รับซื้อ

            ส่วนการเก็บผลผลิตไว้รอราคาในปีการผลิต 2539/40 สามรถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในทั้ง 2 พื้นที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้โดยเฉลี่ยของครัวเรือนเกษตรกร คือประมาณ 8,000 – 10,000 บาท/ครัวเรือน โดยมีระยะเวลาเก็บรักษาเฉลี่ยประมาณ  5 เดือน อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเกษตรกรจะได้กำไรเช่นนี้เสมอไป ในบางปีถ้าราคาเปลี่ยนแปลงไม่มากนักเกษตรกรก็อาจไม่ได้กำไรหรือได้น้อย โดยเฉพาะถ้าเกษตรกรเก็บผลผลิตไว้เองและมีหนี้สินค้างชำระ ซึ่งจากสถิติการเคลื่อนไหวของราคาในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ที่พบว่าในบางปีราคาเคลื่อนไหวค่อนข้างน้อย และจากผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาโดยเฉลี่ยจากช่วงต่ำที่สุดจนถึงช่วงสูงที่สุด ที่มีการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยต่อเดือน ประมาณร้อยละ 1.88 เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยปกติของธกส ประมาณร้อยละ 1.25 ต่อปี หรือร้อยละ 1.04 ต่อเดือน แล้วพบว่าต่างกันไม่มาก ซึ่งผลต่างที่ไม่มากนี้อาจจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา แต่ถ้าเทียบกับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี หรือประมาณร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยในการจำนำข้าวเปลือกกับ ธกส. แล้วก็ต่างกันมาก ดังนั้นเกษตรกรโดยเฉพาะเกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อชำระหนี้ หรือลงทุนต่อ อาจเลือกที่จะเก็บสินค้าไว้รอราคาในบางปี โดยเฉพาะปีที่ราคาในช่วงการเก็บเกี่ยวตกต่ำมาก โดยใช้วิธีจำนำข้าวไว้กับธกส. เพื่อนำเงินไปใช้ก่อนและลดความเสี่ยงเรื่องราคา และในกรณีที่เกษตรกรเก็บผลผลิตไว้รอราคาแล้วก็ต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าควรจะขายผลผลิตที่เก็บไว้นั้นเมื่อไรจึงจะได้ราคาที่ดีที่สุดหรือได้รับรายได้มากที่สุด  โดยอาจจะอาศัยราคาซื้อขายในช่วงเวลาต่างๆในอดีตที่ผ่านมาช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งจากข้อมูลราคาฟาร์มโดยเฉลี่ยในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ในการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่าการขายผลผลิตในเดือนกรกฎาคม เกษตรกรจะได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด เป็นต้น

            อย่างไรก็ตามในระยะหลัง ราคาข้าวหอมมะลิมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ และเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ถ้าเกษตรกรหรือโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่การเกษตรที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาและติดตามอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนตัดสินใจขายผลผลิตเพื่อให้ได้รายได้ที่สูงขึ้นต่อไป