การศึกษาความต้องการจำเป็นเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทย ตามแนวคิด Active Learning ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
คำสำคัญ:
การศึกษาความต้องการจำเป็น, รูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทย, การสอนตามแนวคิด Active Learningบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสภาพการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทยของครูและนักเรียน 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิด Active Learning ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดำเนินการวิจัยโดยเปนกระบวนวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ 1) ครูภาษาไทย จำนวน 10 คน 2) นักเรียน จำนวน 12 คน และ 3) ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรการสอน การวัดประเมินผล และการสอนวรรณคดีไทย จำนวน 8 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ 1) ประเด็นการสนทนากลุ่มย่อย (Focus group discussion) ของครูภาษาไทย 2) ประเด็นการสนทนากลุ่มย่อย (Focus group discussion) ของนักเรียน และ 3) แบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) ของผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทยของครูมุ่งเน้นด้วยวิธีบรรยายเป็นหลัก แบ่งเนื้อหาวรรณคดีไทยให้นักเรียนแปลความหมายและมานำเสนอหน้าชั้นเรียน ตลอดจนขาดการเชื่อมโยงวรรณคดีไทยกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ประเมินผลผู้เรียนด้วยใบงาน ข้อสอบปรนัยและอัตนัยเท่านั้น ในประเด็นสภาพการเรียนวรรณคดีไทยของนักเรียนพบว่า นักเรียนขาดความสนใจในการเรียนวรรณคดีไทย ไม่เห็นคุณค่าและความสําคัญของวรรณคดีไทย ตลอดจนเกิดความเบื่อหน่ายเมื่อจะต้องเรียนวรรณคดีไทย และ2) แนวทางในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิด Active Learning ได้แก่ การจัดการเรียนรู้ที่ประยุกต์ระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity-Based Learning) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning)
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
กุสุมา รักษมณี. (2547). วรรณสารวิจัย. กรุงเทพฯ: แม่คำผาง.
เฉลิมลาภ ทองอาจ. (2552). มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อยในการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทย. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 3(1), 107-118.
ชัตสุณี สินธุสิงห์. (2532). วรรณคดีทัศนา. กรุงเทพฯ: โครงการตำราคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชลธิรา กลัดอยู่. (2517). คำบรรยายวิชาภาษาไทย. กรุงเทพฯ: หน่วยศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดครู
ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. (2545). การสอนภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ.
ณัฐวุฒิ สกุณี. (2559). การพัฒนาเจตคติ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และพฤติกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นกิจกรรมเป็นฐาน. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิศนา แขมมณี. (2557). 14 วิธีสอนสำหรับครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
บุญเลี้ยง ทุมทอง. (2556). ทฤษฎีและการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Theories and Development of Instructional Model). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เอส.พริ้นติ้งไทย แฟคตอรี่.
บุญเหลือ เทพยสุวรรณ, หม่อมหลวง. (2544). ภาษาไทยวิชาที่ถูกลืม. กรุงเทพฯ: บรรณกิจ.
ประภาศรี สีหอำไพ. (2524). วิธีการสอนภาษาไทยระดับมัธยม. กรุงเทพฯ: วัฒนาพานิช.
ปรางค์สุทิพย์ ทรงวุฒิศีล. (2557). จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่น. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคําแหง.
ไพฑูรย์ สินลารัตน์. (2559). ความเป็นครูและการพัฒนาครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ภาวินี บุญธิมา. (2553). การจัดกิจกรรมแนะแนวด้วยเทคนิคการคิดแก้ปัญหาอนาคต ตามแนวคิดของทอร์แรนซ์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มาเรียม นิลพันธุ์. (2558). วิธีวิจัยทางศึกษา. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
แม้นมาส ชวลิต. (2537). งานเขียนเก่าๆ ของไทยไฉนเด็กวัยรุ่นทำเมิน. กรุงเทพฯ: บริษัทอักษรโสภณ.
รุสดา จะปะเกีย. (2558). ผลของการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาชีววิทยาและความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์. สงขลา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
วัชรา เล่าเรียนดี. (2552). รูปแบบและกลยุทธ์การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการคิด (พิมพ์ครั้งที่ 5) นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิภา กงกะนันทน์. (2556). วรรณคดีศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: สกสค. ลาดพร้าว.
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร. (2550). การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็น ฐานกับการสร้างเด็กเก่ง. กรุงเทพฯ: ซี เอ็ด ยูเคชั่น.
วิลาวัณย์ จินวรรณ. (2554). รูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บแบบลดภาระทางปัญญาโดยใช้เทคนิคการ แก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ที่มีต่อการรู้คิดและความคิดสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
ศศิธร ลิจันทร์พร. (2556). การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเป็นฐานโดยใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการศึกษาบนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่เพื่อส่งเสริมความมีวินัยของนักเรียนประถมศึกษา ตอนปลาย. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สถาพร พฤฑฒิกุล. (2558). คุณภาพผู้เรียน...เกิดจำกกระบวนการเรียนรู้ (QUALITY OF STUDENTS DERIVED FROM ACTIVE LEARNING PROCESS. วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา, 6(2), 1-13.
สร้อยสน สกลรักษ์. (2541). แนวการสอนวรรณคดีมรดกในระดับมัธยมศึกษา. วารสารครุศาสตร์, 26(2), 39-49.
สํานักทดสอบทางการศึกษา. (2561). สรุปผลการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ. เข้าถึงได้จาก http://www.niets.or.th/
สิรภัทร ชลศรานนท์. (2558). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามมิติร่วมกับการเรียนการสอนภาษาไทย โดยใช้วรรณคดีเป็นฐานเพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการเขียนเชิงบรรยาย สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย. วารสารอิเล็กทรอนิกส์ทางการศึกษา, 11(2), 163-177.
สุจริต เพียรชอบ. (2540). ครูดี. วารสารวิทยาจารย์, (สิงหาคม), 63-66.
สุวิมล ว่องวานิช. (2548). การวิจัยประเมินความต้องการจำเป็น (พิมพ์ครั้งที่ 3) กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
เสมอกาญจน์ โสภณหิรัญรักษ์. (2557). ปัจจัยในการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสานและกระบวนการเรียนรู้แก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ที่ส่งผลต่อความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ของนิสิต นักศึกษาครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
อิงอร สุพันธุวณิช และคณะ. (2555). วรรณกรรมวิจารณ์. กรุงเทพฯ: แอคทีฟพริ้นท์.
Barrett, (2010). The problem‐based learning process as finding and being in flow. Innovations in Education and Teaching International, 47(2), 165.
Bonwell, C.C. (1991). Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. Washington D.C.: ERIC Claeringhouse on Higher Education.
Cunningham, W.G., & Cordeiro, P.A. (2003). Educational leadership: a problem-based approach. Boston: Allyn and Bacon.
Felder, R. M. & Brent, R. (2009). Active learning: An introduction. ASQ Higher Education Brief, 2(2), 4-9.
George, M. A. (2002). Professional development for a literature-based middle school Curriculum. The Clearing House, 75, 6. Retrieved May 3, 2018, From http://thailis.uni. net.th/hwwedal/detail.nsp.
McKinsey. (2010). How the world’s most improved school systems keep getting better. Retrieved June 12, 2012, from http://mckinseyonsociety.com/how-the-worlds-most-improved-school-systems-keepgetting-better/
Neuman, W.L. (1997) Social Research Methods: Qualitative and Quantitative Approaches (3rd Edition). Allyn and Bacon, Boston.
Riwmongkol, Teeradej. (2555). Human Resource Development. Bangkok: Ramkhamhaeng University Printing House.
Swanson T. C. (2005). Knowledge management: An analysis of knowledge integrator effectiveness in managing organizational knowledge. Doctor of Philosophy Dissertation, Capella University.
Torp, Linda & Sara Sage. (1998). Problem as Possibilities: Problem Based Learning for K-12. Alexandria, Virginia: Association for Supervision and Curriculum Development.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
Copyright@HRD Journal, Burapha University