Publication Ethics

  1. เนื้อหาทั้งหมดของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เจ้าของผลงานมีการคิด ค้นคว้า ทบทวนวิเคราะห์ สรุป เรียบเรียงและอ้างอิงข้อมูล โดยผู้เขียน กองบรรณาธิการไม่มีส่วนร่วมรับผิดชอบ
  2. บทความวิจัยและบทความทางวิชาการทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ เป็นบทความที่ได้รับการตรวจอ่านประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จากภายนอกและภายในสถาบันตามหลักเกณฑ์การตรวจประเมินจำนวน 3 ท่าน
  3. บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารนี้ ต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระกว่างการเสนอเพื่อพิจารณาตีพิมพ์สในวารสารฉบับอื่น หากตรวจพบว่า มีการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียวในการละเมิดลิขสิทธิ์ ผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของวารสารห้ามนำข้อความทั้งหมดหรือบางส่วนไปพิมพ์ซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากทางกองบรรณาธิการ
  4. หากผู้อ่านพบเห็นบทความใดของวารสารที่มีการลอกเลียนแบบโดยปราศจากการแอบอ้างหรือมีการทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานของผู้เขียน ถือเป็นการโจรกรรมทางวิชาการ (Plagiarism) โปรดแจ้งกองบรรณาธิการ
  5. กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการรับพิจารณาบทความจากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสัตว์ทดลอง เฉพาะงานวิจัยที่ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์และสัตว์ทดลองเท่านั้น โดยผู้ส่งต้องแนบหลักฐานการรับรองจากคณะกรรมการมาพร้อมบทความที่ส่งให้กับกองบรรณธิการ

จริยธรรมการตีพิมพ์วารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา

(Publication Ethics)

*******

              วารสารเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษามุ่งมั่นที่จะรักษามาตรฐานด้านจริยธรรมในการตีพิมพ์สูงสุด ดังนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามหลักการและมาตรฐานด้านจริยธรรมในการตีพิมพ์อย่างเคร่งครัด

มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้เขียนบทความ

  1. ผู้นิพนธ์ต้องมีความรับผิดชอบและรับรองว่าบทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในวารสาร จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น
  2. ผู้นิพนธ์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสาร
  3. ผู้นิพนธ์ต้องปรับแก้บทความให้ถูกต้องตามรูปแบบของวารสาร โดยเฉพาะหัวข้อ รูปแบบการจัดเตรียมต้นฉบับ เพื่อให้บทความมีรูปแบบการตีพิมพ์ในมาตรฐานเดียวกัน
  4. ผู้นิพนธ์ต้องคำนึงถึงจริยธรรมในการวิจัย ด้วยการไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตน ซึ่งวารสารได้กำหนดความซ้ำซ้อนของผลงานผ่านโปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ในระดับไม่เกิน 25 % ถ้าหากเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ทางวารสารสามารถปฏิเสธการตีพิมพ์บทความนั้นได้
  5. ผู้นิพนธ์ที่มีชื่อปรากฎในบทความต้องเป็นผู้มีส่วนในการจัดทำบทความหรือมีส่วนในการดำเนินการวิจัย บุคคลซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำบทความ จะไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อในบทความเด็ดขาด หากมีการตรวจสอบพบว่า มีบุคคลที่ไม่มีส่วนร่วมในการจัดทำบทความปรากฏอยู่ กองบรรณาธิการจะถอนบทความนั้นทันที
  6. ผู้นิพนธ์ต้องมีความรับผิดชอบในการอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา ภาพหรือตาราง หากมีการนำมาใช้ในบทความของตนต้องระบุ “ที่มา” เพื่อเป็นการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ หากมีการฟ้องร้องจะเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ทางวารสารจะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น และจะดำเนินการถอนบทความออกจากการเผยแพร่ของวารสารทันที
  7. ผู้นิพนธ์ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิง ทั้งในแง่รูปแบบและเนื้อหา, ไม่ควรนำเอกสารอื่นใดที่ไม่ได้ศึกษามาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในบรรณานุกรม ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นเเละเหมาะสม รวมทั้งต้องอ้างอิงตามรูปแบบการอ้างอิงที่วารสารกำหนดไว้
  8. ผู้นิพนธ์ต้องปรับแก้บทความตามผลประเมินจากผู้ประเมินบทความและกองบรรณาธิการ ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด หากไม่เป็นไปตามที่กำหนด จะต้องเลื่อนการตีพิมพ์เผยแพร่ออกไปหรืออาจถูกถอดถอนออกจากวารสาร
  9. ผู้นิพนธ์ควรระบุชื่อแหล่งทุนที่ให้การสนับสนุนในการทำวิจัย (ถ้ามี) และควรระบุผลประโยชน์ทับซ้อน (ถ้ามี)
  10. ในบทความผู้นิพนธ์ต้องไม่รายงานข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อมูลเท็จหรือการปลอมแปลง บิดเบือน รวมถึงการตกแต่งหรือเลือกแสดงข้อมูลเฉพาะที่สอดคล้องกับข้อสรุป
  11. ผู้นิพนธ์ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่ถูกถอดถอนออกไปแล้ว เว้นแต่ข้อความที่ต้องการสนับสนุนนั้นเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการถอดถอน และต้องระบุไว้ในเอกสารอ้างอิงด้วยว่า เป็นเอกสารที่ได้ถูกถอดถอนออกไปแล้ว
  12. ผู้นิพนธ์ไม่สามารถนำบทความที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารปณิธานแล้วนำไปแก้ไข ดัดแปลง หรือแปลเป็นภาษาอื่นๆ เพื่อนำไปเสนอการตีพิมพ์ในวารสารอื่นหรือนำเสนอบทความในรูปแบบต่างๆ
  13. ทัศนะและความคิดเห็นในบทความวารสาร ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสาร

มาตรฐานทางจริยธรรมของบรรณาธิการ

  1. บรรณาธิการมีหน้าที่ต้องกำกับ ติดตาม ดูแลให้การดำเนินงานของวารสาร เป็นไปตามนโยบายและวัตถุประสงค์ให้ถูกต้องตามจริยธรรม/จรรยาบรรณ ตามประกาศของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) เรื่องการประเมินด้านจริยธรรม/จรรยาบรรณวารสารวิชาการไทยในฐานข้อมูล TCI
  2. บรรณาธิการต้องกำกับ ติดตาม ดูแลและดำเนินการอย่างเหมาะสมกับผู้นิพนธ์หรือบทความที่ตรวจพบว่า มีการกระทำผิดด้านจริยธรรม/จรรยาบรรณ เช่น การละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
  3. บรรณาธิการต้องกำกับ ติดตาม ดูแลการตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่มี Conflict of Interest เช่น การตีพิมพ์เผยแพร่บทความของตนเอง (บรรณาธิการบริหารหรือหัวหน้ากองบรรณาธิการ) อย่างมีนัยสำคัญ หรือไม่มีการตรวจสอบคุณภาพบทความก่อนการตีพิมพ์โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับบทความ เป็นต้น
  4. บรรณาธิการมีหน้าที่ควบคุม ดูแลและพิจารณาคุณภาพของบทความ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร และต้องคัดเลือกบทความมาตีพิมพ์หลังจากผ่านกระบวนการประเมินบทความแล้ว โดยพิจารณาจากความชัดเจนและความสอดคล้องของเนื้อหากับนโยบายของวารสารเป็นสำคัญ และต้องมีข้อความรู้ที่สะท้อนมุมมอง แนวคิดเชิงทฤษฎีที่ได้จากประสบการณ์ การสังเคราะห์เอกสาร หรืองานวิจัย ที่มุ่งเน้นการนำเสนอแนวคิดทฤษฎีใหม่ รวมถึงแบบจำลองเชิงแนวคิด (Conceptual Model) ที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจอันจะนำไปสู่การวิจัยในหัวข้อวิชาการที่สำคัญ
  5. บรรณาธิการต้องไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้เขียนและผู้ประเมินบทความแก่บุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาของการประเมินบทความ ซึ่งวารสารได้กำหนดในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double Blind Peer-reviewed)
  6. บรรณาธิการต้องไม่ตีพิมพ์บทความที่เคยตีพิมพ์ที่อื่นมาแล้ว โดยต้องมีการตรวจสอบการคัดลอกผลงานผู้อื่น (Plagiarism) อย่างจริงจัง โดยใช้โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ ในระดับไม่เกิน 15% เพื่อให้แน่ใจว่า บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารไม่มีการคัดลอกผลงานของผู้อื่น และหากตรวจพบการคัดลอกผลงานของผู้อื่น เกินตามที่กำหนดไว้ จะต้องหยุดกระบวนการประเมินและติดต่อผู้เขียนบทความหลักทันที เพื่อขอคำชี้แจงในการประกอบการ “ตอบรับ” หรือ “ปฏิเสธ” การตีพิมพ์บทความนั้น
  7. บรรณาธิการต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้เขียนและผู้ประเมินอย่างเด็ดขาด เพื่อรักษาไว้ซึ่งหลักธรรมาภิบาลในการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด
  8. บรรณาธิการต้องไม่นำข้อมูลบางส่วนหรือทุกส่วนของบทความไปเป็นผลงานของตนเอง
  9. บรรณาธิการมีหน้าที่พิจารณาตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยที่ถูกต้องและให้ผลที่น่าเชื่อถือ โดยนำผลของการวิจัยมาเป็นตัวชี้นำว่า สมควรตีพิมพ์เผยแพร่หรือไม่
  10. หากบรรณาธิการตรวจพบว่า บทความมีการลอกเลียนบทความอื่นโดยมิชอบหรือมีการปลอมแปลงข้อมูล ซึ่งสมควรถูกถอดถอน แต่ผู้เขียนปฏิเสธที่จะถอนบทความ บรรณาธิการสามารถดำเนินการถอนบทความได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เขียน ซึ่งถือเป็นสิทธิและความรับผิดชอบต่อบทความของบรรณาธิการ
  11. บรรณาธิการต้องกำกับติดตามดูแล ทั้งด้วยตนเองและคณะทำงานในเรื่องจำนวนและคุณภาพการอ้างอิงของวารสารที่ผิดไปจากสภาพความเป็นจริง เช่น การกำกับและร้องขอให้มีการอ้างอิงบทความในวารสาร ทั้งในลักษณะลับหรือเปิดเผย และมีการใช้อ้างอิงที่ไม่ถูกต้องและสอดคล้องกับเนื้อหา

มาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ประเมินบทความ

  1. ผู้ประเมินบทความควรมีจรรยาบรรณในการรับประเมินบทความที่ตนเองมีความถนัด หรือมีคุณวุฒิ หรือสาขาวิชาที่ตนมีความเชี่ยวชาญ
  2. ผู้ประเมินบทความต้องคำนึงถึงคุณภาพบทความเป็นหลัก พิจารณาบทความภายใต้หลักการและเหตุผลทางวิชาการโดยปราศจากอคติ และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้เขียนบทความ
  3. ผู้ประเมินบทความควรมีจรรยาบรรณในการแนะนำความคิดเห็นทางวิชาการของตนเองลงในแบบฟอร์มการประเมินหรือเนื้อหาในบทความด้วยความยุติธรรม ไม่อคติ รวมทั้งตรงต่อเวลาตามที่วารสารกำหนดในการประเมิน
  4. ผู้ประเมินบทความควรมีจรรยาบรรณในการรักษาความลับและไม่เปิดเผยข้อมูลของบทความที่ส่งมา เพื่อพิจารณาให้แก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องในช่วงระยะเวลาของการประเมินบทความ รวมถึงหลังจากที่พิจารณาประเมินบทความเสร็จแล้ว
  5. หลังจากได้รับบทความจากบรรณาธิการเเล้ว ผู้ประเมินบทความได้ตระหนักว่า ตนเองอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับผู้เขียนซึ่งไม่สามารถให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างอิสระได้ ผู้ประเมินบทความควรแจ้งให้บรรณาธิการทราบและปฏิเสธการประเมินบทความนั้น
  6. ผู้ประเมินบทความควรคำนึงถึงการพิจารณาในหัวข้อ ชื่อเรื่อง หากเป็นบทความวิชาการสามารถพิจารณาให้แก้ไขชื่อเรื่องได้ แต่หากเป็นบทความวิจัยควรพิจารณาประเด็นอื่นๆ แต่ไม่ควรพิจารณาให้เปลี่ยนชื่อเรื่องบทความวิจัย
  7. ผู้ประเมินบทความต้องไม่นำข้อมูลบางส่วนหรือทุกส่วนของบทความไปเป็นผลงานของตนเอง
  8. เมื่อผู้ประเมินบทความพบว่า มีส่วนใดส่วนหนึ่งของบทความที่มีความเหมือนกันหรือซ้ำซ้อนกับผลงานชิ้นอื่น ๆ ผู้ประเมินบทความต้องแจ้งให้บรรณาธิการทราบ พร้อมแสดงหลักฐานให้เห็นเป็นประจักษ์