การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดป่าประดู่ จังหวัดระยอง
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R (2) เพื่อหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R ตามเกณฑ์ 70/70 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดป่าประดู่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 38 คน ได้มา จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R และแบบทดสอบวัดการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R ก่อน ระหว่าง และหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (𝑥̅), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และค่าสถิติทดสอบค่า t (t-test dependent)
การศึกษาพบว่า (1) ความสามารถด้านการอ่านของนักเรียน หลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบ SQ3R สูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านด้วยรูปแบบ SQ3R มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 มีค่าเท่ากับ 76.95/87.35
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
กมลวรรณ โคตรทอง. (2557). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษจากนิทานอาเซียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ Storyline สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเป้า (สำราญไชยวิทยา) จังหวัดชัยภูมิ (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
กัญญา ร้อยลา. (2553). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาไทยอย่างมีวิจารณญาณด้วยรูปแบบการอ่าน 5 ขั้นตอน (SQ3R) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
ทิศนา แขมมณี. (2551). รูปแบบการเรียนการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย (พิมพ์ครั้งที่5). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทิศนา แขมมณี. (2553). ศาสตร์การสอนคือความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มี ประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
นาติยา ทิพย์ไสยาสน์. (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้เทคนิค SQ3R ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
พรรณิการ์ สมัคร. (2553). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ด้วยการจัดการเรียนรู้การอ่านแบบ SQ3R (วิทยานิพนธ์ปริญญาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วิสาข์ จัติวัต์. (2543). การสอนอ่านภาษาอังกฤษ (Teaching English Reading Comprehension) (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
วันเพ็ญ วัฒฐานะ. (2557). การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการอ่านแบบ SQ3R เพื่อพัฒนาความเข้าใจในการอ่านและศึกษาพฤติกรรมการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดตะปอนน้อย จังหวัดจันทบุรี (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยบูรพา.
สุนิตา ระแม. (2556). การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ SQ3R เพื่อพัฒนาการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 41 จังหวัดยะลา (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยทักษิณ.
เอมอร เนียมน้อย. (2551). พัฒนาการอ่านอย่างมีวิจารณญาณด้วยวิธี SQ3R. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
Artis, A. B. (2008). Improving marketing students’ reading comprehension with the SQ3R method. Journal of Marketing Education, 30(2), 130-137.
Gillian Flaherty. (2010). หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม Mastery in Reading ม.4-6 เล่ม 1. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์ อจท.จำกัด.
Johns, J. L., & McNamara, L. P. (1980). The SQ3R study technique: A forgotten research target. Journal of Reading, 23(8), 705-708.
Piaget, J. (1952). Origins of intelligence in children. New York: International Universities Press. Robinson, F.P. (1961). Effective study. Glasgow: Harper; Revised edition.
Rozakis, L., & Cain, D. (2001). Super Study Skills (Scholastic Guides). New York: Scholastic Reference.
Tadlock, D. F. (1978). SQ3R: Why it works, based on an information processing theory of learning. Journal of Reading, 22(2), 110-112.