การพัฒนาขั้นการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิดการสร้างความรู้เชิงสังคม เพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย

ผู้แต่ง

  • ณัฏฐภัทร มูลหิลัญจน์เดชา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สันติวัฒน์ จันทร์ใด คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำสำคัญ:

การสร้างความรู้เชิงสังคม, การอ่านเพื่อความเข้าใจ, ความผูกพันกับการอ่าน, โรงเรียนมัธยม

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาขั้นการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิดการสร้างความรู้เชิงสังคมเพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) ประเมินขั้น การจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิดการสร้างความรู้เชิงสังคมเพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการวิจัยและพัฒนา มีขั้นตอนในการดำเนินงาน 2 ระยะ ได้แก่ ระยะการศึกษาค้นคว้าข้อมูล ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาขั้นการจัดการเรียนรู้ และระยะการประเมินคุณภาพของขั้นการจัดการเรียนรู้โดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบตรวจคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจัยพบว่า

  1. ขั้นการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิดการสร้างความรู้เชิงสังคมเพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 4 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 การสร้างความสนใจ เชื่อมโยงประสบการณ์ และร่วมกันตั้งเป้าหมายในการอ่าน ขั้นที่ 2 การสำรวจและสรุปเนื้อหาวรรณคดีผ่านการแลกเปลี่ยนแบบกลุ่ม ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์ ตีความ และประเมินค่าวรรณคดีโดยการอภิปรายกลุ่ม และขั้นที่ 4 การเชื่อมโยงผลการอ่านเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง
  2. ผลการประเมินขั้นการจัดการเรียนรู้โดยผู้ทรงคุณวุฒิพบว่า ขั้นการจัดการเรียนรู้นี้มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ ดีมาก (equation = 4.94, S.D. = 0.23) โดยสามารถนำไปใช้เพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายได้

เอกสารอ้างอิง

กรมวิชาการ. (2546). คู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย. โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กระทรวงศึกษาธิการ.

ดวงมน จิตร์จำนงค์, ยุรฉัตร บุญสนิท, โชษิตา มณีใส, วีรวัฒน์ อินทรพร, กอบกาญจน์ ภิญโญมารค, และวิมลมาศ ปฤชากุล. (2555). การวิจารณ์บนเส้นทางวรรณคดีศึกษา. อินทนิล.

นิภาวรรณ นวาวัตน์ และไคย์ โคช์เลอร์. (2565). ผลของการตั้งคำถามโดยนักเรียนที่มีต่อความมั่นใจ แรงจูงใจ และความผูกพันกับการอ่านจากเรื่องสั้นภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทย. วารสารอักษราพิบูล, 3(2), 99-116. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/APBJ/article/view/258257

ราชบัณฑิตยสถาน. (2554). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. ราชบัณฑิตยสถาน.

รื่นฤทัย สัจจพันธุ์. (2544). วรรณคดีศึกษา. ธารปัญญา.

สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ. (2567). บทสรุปผู้บริหาร ผลการวิเคราะห์ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 O-NET ปีการศึกษา 2566. กลุ่มงานผลิตและพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผล.

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2562). การสำรวจการอ่านของประชากร พ.ศ. 2561. กองสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ.

เหมันต์ พรหมสนธิ์ และสิทธิพงศ์ วัฒนานนท์สกุล. (2563). อิทธิพลของการรับรู้บรรยากาศทางวิชาการที่มีต่อความผูกพันในการอ่านเชิงวิชาการในวัยรุ่นตอนปลายโดยมีเอกลักษณ์แห่งตน การรับรู้ความสามารถแห่งตน และการให้คุณค่าในการอ่านเป็นตัวแปรส่งผ่าน. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 9(4), 229–244. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/246769

Chambers, E., & Gregory, M. (2006). Teaching and learning english literature. SAGE Publications.

Cunningham, A. E., & Stanovich, K. E. (1998). What reading does for the mind. American Educator, 22, 8-15.

Duke, N. K., & Pearson, P. D. (2002). Effective practices for developing reading comprehension. In A. E. Farstrup & S. J. Samuels (Eds.), What research has to say about reading instruction (pp. 205–242). International Reading Association.

Gee, J. P. (2008). Social linguistics and literacies: Ideology in discourses (3rd ed.). Routledge.

Guthrie, J. T., Wigfield, A., Barbosa, P., Perencevich, K. C., Taboada, A., Davis, M. H., Scafiddi, N. T., & Tonks, S. (2004). Increasing reading comprehension and engagement through concept-oriented reading instruction. Journal of educational psychology, 96(3), 403-423. https://doi.org/10.1037/0022-0663.96.3.403

Huang, Q. (2009). English reading base on social constructivist approach. Asian Social Science, 5(7), 174-176. https://doi.org/10.5539/ass.v5n7p174

Jubran, S. M. (2016). The Effect of the social constructivist approach on teaching reading to Jordanian University students. US-China Education Review A, 6(5), 310-315. http://dx.doi.org/10.17265/2161-623X/2016.05.005

Krashen, S. D. (2004). The Power of reading: Insights from the research (2nd ed.). Libraries Unlimited & Heinemann.

Mishra, N. R. (2023). Constructivist approach to learning: An Analysis of pedagogical models of social constructivist learning theory. Journal of Research and Development, 6(1), 22-29. https://doi.org/10.3126/jrdn.v6i01.55227

Protacio, M. S. (2017). A case study exploring the reading engagement of middle grades english learners. RMLE Online, 40(3), 1-17. https://doi.org/10.1080/19404476.2017.1280586

Wallace, C. (1992). Reading. Oxford University Press.

Wiland, M. S. (2016). Reading and teaching English literature: How to bridge the gaps between teacher education and the English classroom. Cappelen Damm Akademisk.

Wilhelm, J. (2008). You gotta be the book: Teaching engaged and reflective reading with adolescents (2nd ed.). Teachers College Press.

Yang, L. & Wilson, K. (2006). Second language classroom reading: A Social constructivist approach. The Reading Matrix, 6(3), 364-372.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-12-29

รูปแบบการอ้างอิง

มูลหิลัญจน์เดชา ณ., & จันทร์ใด ส. (2025). การพัฒนาขั้นการจัดการเรียนรู้วรรณคดีไทยตามแนวคิดการสร้างความรู้เชิงสังคม เพื่อเสริมสร้างการอ่านเพื่อความเข้าใจและความผูกพันกับการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย. มมร ล้านนาวิชาการ, 14(2), 78–88. สืบค้น จาก https://so01.tci-thaijo.org/index.php/mbulncjournal/article/view/282626

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย