แนวทางการพัฒนาโรงเรียนเครือข่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูให้เป็นโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ -
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประเด็นในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) ศึกษาองค์ประกอบในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู และ3) ศึกษาเกณฑ์มาตรฐานในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 800 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 2 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ประเด็นในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู โดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ได้แก่ 1) ควรมีการติดต่อประสานงานกับคณะครุศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ 2) ควรมีการปฐมนิเทศให้แก่นักศึกษาอย่างต่อเนื่อง 3) ควรมีการมอบหมายงานและกำหนดครูพี่เลี้ยง 4) ควรมีการกำกับ ดูแล การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของนักศึกษา 5) ควรมีการพัฒนาครูพี่เลี้ยงและนักศึกษาร่วมกัน 6) ควรมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการพัฒนาวิชาชีพครู 7) ควรมีการพัฒนาองค์กรไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 8) ควรมีความพร้อมความเต็มใจให้ความร่วมมือช่วยเหลือกันในเครือข่าย 9) ควรมีการยอมรับซึ่งกันและกัน และ10) ควรมีการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรบุคคล วัสดุ และอุปกรณ์การเรียนการสอนร่วมกัน 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู โดยภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 3.91, S.D = 0.49 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ๆ ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด พบว่า ด้านการบริการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 4.07, S.D = 0.79 และ3) ผลการวิเคราะห์เกณฑ์มาตรฐานในการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานโรงเรียนร่วมพัฒนาวิชาชีพครู โดยภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 4.12, S.D = 0.52 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ๆ ที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด พบว่า ด้านวิชาการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 4.30, S.D = 0.39
Article Details
อยู่ระหว่างการปรับปรุง (ลิขสิทธิ์และการรับผิดชอบ)
References
2. ข้อเสนอการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552–2561), สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2554.
3. Yamane, T., Statistics: An introductory analysis, Harper and. Row, 1973.
4.วราภรณ์ สิทธิวงศ์, “การพัฒนารูปแบบการฝึกประสบการณ์วิชาชีพศึกษาศาสตร์,”วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาชีวศึกษา, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2543.
5. ปัทมา ทุมาวงศ์, “การวิเคราะห์รูปแบบเครือข่ายความร่วมมือของครูในโรงเรียนที่มีการปฏิบัติดี :การประยุกต์ใช้การวิเคราะห์เครือข่ายสังคม,” วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2551.
6. วิชิต สุรัตน์เรืองชัย, “ผลการใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพเพื่อเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพครูของนิสิตศึกษาศาสตร์,” วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, มหาวิทยาลัยบูรพา, 2546.
7. วาโร เพ็งสวัสดิ์. “การศึกษาปัจจัยบางประการที่สัมพันธ์กับการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู,” วารสารวิทยบริการ., ปีที่ 11, ฉบับที่ 3, หน้า 1-17, 2543.
8. นันทรัตน์ ศรีนุ่นวิเชียร, “ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการความรู้ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและประสิทธิผลของกลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ กระทรงสาธารณสุข เขตกรุงเทพมหานคร,” จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2548.
9. Baumfield, V. and M. Butterworth, “Creating and translating knowledge about teaching and learning in collaborative school-university research partnerships: An analysis of what is exchanged across the partnership, by whom and how,” Teachers and Teaching : Theory and Practice 13(4), pp. 411-427, 2007.
10. Kubiak, C. and J. Bertram, “Network leadership as a balancing act: Contrivance or emergence,” Forum for promoting 3-19 comprehensive education 47(1), pp. 8-11, 2005.
11. Schulz, K.P. and S. Geithner, “Between exchange and development: Organizational learning in schools through inter-organizational networks, Learning Organization 17(1), pp. 69-85, 2010.