แนวทางการใช้กฎหมายป่าชุมชนเพื่อสร้างความอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: บ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี

ผู้แต่ง

  • นิโรธรี จุลเหลา สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

DOI:

https://doi.org/10.14456/gjl.2025.28

คำสำคัญ:

กฎหมายป่าชุมชน, แนวทางปฏิบัติ, ผู้นำและสมาชิกชุมชน

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้นำและสมาชิกชุมชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชน 2) เพื่อผลิตผู้นำและสมาชิกชุมชนที่สามารถสร้างแนวทางปฏิบัติให้แก่ชุมชน โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านกฎหมายป่าชุมชนไปประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญของแนวทางปฏิบัติที่ทำให้ชุมชนใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนอย่างยั่งยืน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสม (Mixed Method) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้นำและสมาชิกชุมชนบ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 25 คน โดยใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสำรวจและแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) ผลการวิจัย พบว่า 1. ผู้นำและสมาชิกชุมชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชนอย่างถูกต้องและชัดเจนมากขึ้น 2. ผู้นำและสมาชิกชุมชนสามารถสร้างแนวทางปฏิบัติที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน โดยบูรณาการองค์ความรู้ด้านกฎหมายป่าชุมชนเพื่อนำไปใช้ในการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ   3. องค์ประกอบสำคัญของแนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้ชุมชนสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมของชุมชน (2) ภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง และ (3) การศึกษาและการให้ความรู้ อภิปรายผล ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกฎหมายป่าชุมชน เป็นรากฐานสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการทรัพยากรแบบมีส่วนร่วมที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ การบูรณาการความรู้ด้านกฎหมายเข้ากับการปฏิบัติในพื้นที่ทำให้เกิดแนวทางที่เป็นรูปธรรมและเหมาะสมกับวิถีชีวิตของชุมชนเอง การมีภาวะผู้นำที่เข้มแข็งจึงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยประสานความร่วมมือระหว่างสมาชิกและสร้างแรงจูงใจในการอนุรักษ์ ขณะเดียวกันการให้ความรู้และการศึกษาต่อเนื่องยังเป็นกลไกที่ทำให้ความรู้ดังกล่าวแพร่กระจายและสืบทอดไปยังคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้การจัดการทรัพยากรป่าชุมชนมีความยั่งยืนมากขึ้นข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัย ควรมีการพัฒนาโครงการฝึกอบรมและกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้นำและสมาชิกชุมชนสามารถปรับข้อมูลความรู้ด้านกฎหมายและการจัดการป่าชุมชนให้ทันสมัยได้ทันต่อสถานการณ์ นอกจากนี้ ภาครัฐควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งควรมีการบูรณาการองค์ความรู้กฎหมายป่าชุมชนเข้าสู่หลักสูตรการเรียนการสอนในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ตั้งแต่เยาวชน ข้อเสนอแนะอีกประการหนึ่งคือควรมีการติดตามและประเมินผลการนำแนวทางปฏิบัติไปใช้จริงในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และธรรมชาติ

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

กรมป่าไม้. (2540). ประโยชน์ของป่าไม้. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขานุการกรมป่าไม้.

กาญจนา คุ้มทรัพย์. (2558). การจัดการป่าชุมชนท้องถิ่นอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาป่าชุมชนบ้านดอนหมู จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารการเกษตรราชภัฏ, 14(1), 31–36.

เกษม จันทร์แก้ว. (2556). การจัดการสิ่งแวดล้อมแบบผสมผสาน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

จักรพงษ์ พวงงามชื่น, & คณะ. (2556). การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่าชุมชน: กรณีศึกษาบ้านทาป่าเปา ตำบลทาปลาดุก อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน. วารสารวิจัยและพัฒนา มจธ., 36(2), 215–234.

ฉัตรชัย พงษ์ประยูร. (2549). แนวความคิดใหม่ทางภูมิศาสตร์. กรุงเทพฯ: มิสเตอร์ก๊อปปี้.

ชาญชัย งามเจริญ. (2550). ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการป่าชุมชน. กรุงเทพฯ: ทวีวัฒน์การพิมพ์.

เดือนนภา ภู่ทอง. (2561). การจัดการป่าชุมชนเพื่อความยั่งยืนโดยการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมสาธารณะและจารีตประเพณีท้องถิ่นในพื้นที่ภาคเหนือ. Journal of Administrative and Management, 6(2), พฤษภาคม–สิงหาคม 2018.

บุญชม ศรีสะอาด. (2556). วิธีการทางสถิติสำหรับการวิจัย เล่ม 1 (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น.

พระครูพิพิธสุตาทร, & คณะ. (2552). การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการอนุรักษ์ป่าชุมชนบนฐานเศรษฐกิจพอเพียง. พระนครศรีอยุธยา: สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

พระราชบัญญัติป่าชุมชน, พ.ศ. 2562. (2562). ราชกิจจานุเบกษา, 136 (ตอนที่ 64 ก), 1–15.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. (2550). ราชกิจจานุเบกษาฉบับกฤษฎีกา, 124 (ตอนที่ 47 ก), 1.

วิชัย มงคลการ. (2560). ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการบริหารจัดการป่าชุมชนในภาคอีสาน.มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

ฤิทธิบาน สุชีวะกุล. (2554). รูปแบบพัฒนาการจัดการป่าชุมชนพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน. วารสารบัณฑิตศึกษามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 1(2), 123–142.

ศรีประไพร คุ้มศัตรา. (2559). การมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ป่าชุมชน: ศึกษากรณีตำบลช่องสะเดา อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี. วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยราชพฤกษ์, 1(3), 59–68.

สมชาย ธรรมสุทธิวัฒน์. (2567). การส่งเสริมและใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ตามกฎหมายป่าชุมชน พ.ศ. 2562. ใน การประชุมวิชาการระดับชาติ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 18: Green-Growth-Gate (18–19 กรกฎาคม2567). มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.

สุรัสวดี ราชกุลชัย. (2543). การวางแผนและการควบคุมทางการบริหาร. กรุงเทพฯ: จามจุรี.

สุวัฒ ดวงแสนพุด. (2564). ศึกษาการจัดการป่าชุมชนแบบมีส่วนร่วม: กรณีศึกษาป่าชุมชนภูปอบ บ้านวังน้ำมอก ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย. วารสาร มรม., 15(1), มกราคม–เมษายน 2564.

Chorley, R. J., & Haggett, P. (1967). Models in geography. New York, NY: Methuen.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-11-20

รูปแบบการอ้างอิง

จุลเหลา น. (2025). แนวทางการใช้กฎหมายป่าชุมชนเพื่อสร้างความอย่างยั่งยืน กรณีศึกษา: บ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี. วารสารการบริหารปกครอง มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์, 14(2), 220–243. https://doi.org/10.14456/gjl.2025.28